สำหรับการเดินทางจากดอนเมืองไปพม่านั้น ขอเล่านิดหน่อยแล้วกันน่า ส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวจะมีเป็นกรุ๊ปทัวร์ เนื่องจากพอไปถึงเกทแล้วพบว่าผู้ที่นั่งรอมีแต่คุณลุง,คุณป้า, คุณตาคุณยาย นุ่งขาวห่มขาวซึ่งแตกต่างจาก BearIndyz ที่แต่งตัวปกติแล้วแต่ละท่านดูค่อนข้างจะเคร่งขรึมเสียจนผมนั่งเกร็งๆไม่กล้าลั้นลามาก
มีบริษัททัวร์คอยเทคแคร์ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ผิดกับ BearIndyz มานั่งรอคนเดียว เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน BearIndyz ได้นั่งติดกับคุณป้าและลูกสาววัยกลางคน
อุ้ย!งานนี้ต้องเรียบร้อยหน่อย แต่ความโชคดีก็บังเกิดเมื่อทางบริษัททัวร์สั่งอาหาร Airasia ไว้ให้คุณป้า แต่ปรากฏว่าคุณป้าเป็นมังสวิรัติ คุณป้าคงเห็นพุงของBearIndyz กระเพื่อมเลยยกข้าวกระเพราไก่ให้ ส่วน BearIndyz เลยแลกเปลี่ยนด้วยการซื้อน้ำให้คุณป้า (ก็บนเครื่องบิน ไม่มีอย่างอื่นขายนี่นา) ต้องขอขอบพระคุณน้ำใจไมตรีของคุณป้ามา ณ โอกาสนี้ครับ
บินแค่ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงย่างกุ้งแล้วล่ะ สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่ แต่ใหม่มากเข้าใจว่าเพิ่งตกแต่งสถานที่เสร็จ ผมว่าเล็กกว่าดอนเมืองนะเพราะเดินนิดเดียวก็ถึง ต.ม.แล้ว กระเบื้องปูพื้น บันได และวัสดุต่างๆใหม่มาก พื้นมันวาวสะอาดเอี่ยม
ตื่นเต้นและหงุดหงิดกับ ต.ม.พม่าเพราะ BearIndyz ดันไปอยู่ในแถวที่ทำงานช้ามากคาดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ นักท่องเที่ยวเซ็งกันหลายคนเลย ใช้เวลาต่อคิวเกือบชั่วโมงทั้งๆที่แถวอื่นทำงานเร็วมาก พอออกมาข้างนอกที่บริเวณทางออก มีคนของโรงแรมต่างๆถือป้ายต้อนรับลูกค้าเพียบ ทุกคนนุ่งโสร่งหลากสีสันเลยทั้งเขียวเข้ม สีแดงอิฐ สีน้ำตาลเยอะแยะเต็มไปหมด ที่นี่มีส่วนนั่งรอ โดยมีทีวีฉายให้ดูด้วย มุมนี้ดีนะครับ สามารถนั่งเล่นได้เพลินๆระหว่างรอเพื่อนบินมาอีกไฟล์ท
สำหรับรายละเอียดของโรงแรม ผมเล่าแยกไว้อีกตอนนะแวะไปอ่านกันได้
หลังจากคนของโรงแรมมารับ แล้วเราเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พักผ่อนสักครู่ก็เริ่มเดินทางไปที่แรกกันเลย
Botataung pagoda เป็นเจดีย์อยู่ไม่ห่างจากโรงแรมมากนัก (เดินประมาณ 15 นาที) ระหว่างที่เดินก็เริ่มสอดส่ายมองผู้คนพม่า พบว่าคนพม่าส่วนใหญ่สีผิวเหลือง บางคนจะผิวเข้มเหมือนมีเชื้อสายแขก บุคลิกอาจจะดูน่ากลัวหน่อยแต่ก็ไม่มีอะไรนะ คนพม่ายังคงเคี้ยวหมากกันอยู่เยอะ การแต่งกายยังนุ่งโสร่งกันเป็นส่วนใหญ่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ค่อยมีคนแต่งตัวสมัยใหม่แฟชั่นจ๋ามากนักมีเฉพาะวัยรุ่นนิดหน่อย
ตึกแถวสองข้างทางค่อนข้างเป็นตึกเก่า ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมไปมากและบริเวณที่ผมพักเห็นมีแนวรถรางเก่าด้วย ไม่แนะนำให้ใส่รองเท้าหรูมาเที่ยวพม่า เพราะสภาพฟุตบาทหรือทางเดินเท้าเขาไม่ดี มีหลุมมีบ่อ มีน้ำขังอาจจะเป็นเพราะหลังฝนตกด้วย เดินไปเรื่อยๆผ่านหลายแยก มีถามทางคนแถวนั้นบ้าง 2-3 ครั้งชี้แผนที่ให้ดูเขาก็เข้าใจและบางคนพูดภาษาอังกฤษได้ ในที่สุดก็เดินมาเจอสี่แยกใหญ่เห็นเจดีย์เด่นชัด ข้ามถนนไปตรงปากทางจะมีร้านขายผลไม้สำหรับไหว้แต่ผมกับเพื่อนไม่ได้ซื้อ
งานนี้ตรงดิ่งไปซื้อบัตรเข้าชม 3 US$ มีเจ้าหน้าที่เป็นสาวผัดแป้งทานาคาเหลืองนวล ออกบัตรให้แล้วพร้อมแนะนำให้เราฝากรองเท้าไว้กับเขาดีกว่า ผมว่าข้อนี้เขาดูแลนักท่องเที่ยวดี เพราะได้ข่าวว่ามีรองเท้าหายบ่อย สังเกตว่าหลายสถานที่ท่องเที่ยวถ้าเจ้าหน้าที่เขาเห็นนักท่องเที่ยว เขาจะให้ฝากรองเท้าไว้ที่ช่องขายบัตรเลย ถ้าเป็นคนท้องถิ่นต้องถือเข้าไปเอง
สำหรับที่นี่เป็นที่แรก ประทับใจกับสีเหลืองทองอร่ามสวยงาม แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบพื้นจะเฉอะแฉะจากสายฝนที่เพิ่งหยุดตก แต่ผู้คนต่างเดินเท้าเปล่าไปไหว้พระกันพอสมควร งานนี้เลยได้ไหว้พระ ภายในเจดีย์มีที่ประดิษฐ์พระธาตุด้วย โดยมีทางเดินวนรอบฐานเจดีย์มีกำแพงสีทองกั้นเป็นชั้นๆไว้
เดินออกมาด้านนอกทางเดินเป็นไม้แกะสลัก
มีศาลากลางสระ
ซึ่งที่ศาลานั้นมีพระอินทร์(แต่รุปลักษณ์ไม่เหมือนกับบ้านเรา) พระทันใจ
(ไปขอพรมา...แต่บอกตรงๆ ไม่สำเร็จครับ 5555 )
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สวมเสื้อกั๊กมาเสนอของไหว้ เจ้าหน้าที่นี่ยิ้มแย้มดี
ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร สบายใจได้เขาไม่ตื้อนักท่องเที่ยวครับ พูดจาสุภาพ
บริเวณนี้มีหลายอาคารมีความสวยงามมาก ซึ่ง BearIndyz เข้าใจว่ามีทั้งศาลาใหญ่ ศาลาเล็ก และอาคารเรียนสำหรับพระสงฆ์ ใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพน่าจะชอบเป็นพิเศษ ที่นี่จะตกแต่งด้วยสีขาว-ทอง และด้านหน้าอาคารใหญ่หลังหนึ่ง มีรูปปั้นกษัตริย์พม่า พอเข้าไปใกล้ๆ มีป้ายเขียนว่าเป็นหุ่นที่แสดงถึงกษัตริย์ในสมัยก่อนองค์แรกที่หันมานับถือศาสนาพุทธ แล้วยังมีพระพุทธรูปอีกหลายปาง
ใช้เวลาเดินชมประมาณชั่วโมง พอออกมาตรงจุดขายบัตร ฝั่งตรงข้ามมีอีกอาคารนึง รู้สึกว่าจะมีเทพเจ้าชื่อดังอยู่ด้วย แต่เนื่องจากตอนที่เข้าไปมีการทำพิธีอยู่ คนเยอะ เลยได้แต่ยกมือไหว้อธิษฐานห่างๆ
หลังจากนั้นลองเดินเข้าไปในซอยต่อไป ถึงพบว่าติดแม่น้ำ มีเรือจอดด้วย ที่พม่านี่จะมีอีกาเยอะหน่อย ส่งเสียงร้องดังพอควร บางคนอาจจะรู้สึกกลัวกับเสียงอีกาบ้าง ทำใจนิดหน่อยเดี๋ยวก็ชิน
หลังจากผมและเพื่อนเดินจนเมื่อย งานนี้เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ดีกว่า รถแท็กซี่ที่นี่ต้องทำใจ อาศัยดวงจริงๆ บางคันใหม่สภาพดี บางคันสภาพเยินเบาะที่นั่งเหล็กทิ่มก้น
เรียกแท็กซี่ไปเจดีย์สุเล Sule Pagoda คิด 2,000 จ๊าด นั่งสองคนตกไม่เท่าไหร่ ขับไปประมาณ 10 นาทีก็วนมาถึงเป็นวงเวียนใหญ่ ผู้คนจะเยอะแยะเชียวครับ เห็นครั้งแรกรู้เลยว่าเจดีย์สุเล หลังจากลงรถแล้วเราก็เดินข้ามถนนไปไหว้พระต่อที่เจดีย์สุเล สังเกตว่าภายนอกรอบเจดีย์จะมีร้านค้าเป็นล็อคๆ แต่วันที่ผมไปรู้สึกว่าปิดไปเยอะ มีเปิดทำการค้าแค่ไม่กี่ห้องเอง พอไปด้านในเดินชมไปรอบๆ มีความสวยงามตามสถาปัตยกรรมพม่า แต่ออกเป็นโทนสีน้ำตาล-ทอง มีผู้คนชาวพม่ามาไหว้กันเยอะพอสมควร
สังเกตว่าที่นี่จะมีคนพม่ามานั่งพักผ่อนกันเยอะทีเดียว บ้างนั่งบ้างนอนตามมุมต่างๆภายในเจดีย์
หมายเหตุ
ระหว่างที่เดินเที่ยวก็มีพระสงฆ์พม่า มาแนะนำพาเที่ยวชมรอบบรรยายเป็นภาษาอังกฤษแบบละเอียด ความเป็นมาของแต่ละพื้นที่ พระพุทธรูปต่างๆ ประมาณ 30 นาที แล้วขอเงินบริจาค 5,000 จ๊าด โดยส่วนตัว BearIndyz ไม่คิดมากนะครับเพราะคิดเป็นเงินไทยแค่ ร้อยกว่าบาท ถือว่ามีไกด์พาชมเที่ยว
หลายสถานที่ท่องเที่ยวจะมีคนเดินเข้ามาชวนคุย พาชมรอบๆแล้วพอจบขอเงิน BearIndyz มักจะปฏิเสธแบบสุภาพยิ้มๆ
แต่ถ้าใครโอเค ก็ใช้บริการได้นะเพราะเขาก็คิดไม่แพงนะ แล้วเล่าและพาชมละเอียดมาก
หลังจากนั้น Bearindyz กับเพื่อนเดินออกมาสำรวจเมือง ชมโน่นชมนี่ บริเวณนี้ถือว่าเป็นย่านใจกลางเมือง มีตึกไฮโซหรูหราขึ้นมากมายและมีผู้คนมาซื้อของจับจ่ายใช้สอยกันแน่นเลย เดินหาของกินเพราะเริ่มหิว
มื้อนี้ได้เมนูริมทางเห็นคนนั่งยองทานกัน เป็นหมูหั่นเป็นชิ้นเสียบไม้ไว้ เลือดหมูหั่นเป็นก้อนเล็กแล้วจิ้มน้ำซุปร้อนที่ตั้งไว้ตรงกลาง จิ้มกินกับน้ำจิ้มรสอร่อย รสชาติเหมือน BBQ Plaza พร้อมด้วยหมี่ผัด ถึงแม้ว่าแม่ค้าพ่อค้าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่การสื่อสารด้วยภาษามือกันได้เข้าใจ ต้องบอกว่าตอนแรกไม่คิดว่าจะอร่อย ไม้ละประมาณ 5 -10 บาท แต่พอกินไม้นึง....อุ้ย ติดใจ งานนี้เลยกินไปคนละหลายไม้ หมี่ผัดคนละจาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น