วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปีนัง เมืองเล็ก ๆ น่ารัก เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่งดงาม

                         และแล้ววันเดินทางกับการไปต่างประเทศครั้งแรกของผมก็มาถึง  ผมบินไปกับสายการบินแอร์เอเซีย รู้สึกตอนนั้นยังไม่มีการระบุที่นั่งด้วยครับ ต้องวิ่งแย่งที่นั่งติดหน้าต่างกันแบบน่ารักๆ ขำๆ  ผมไม่ซื้อน้ำหนักกระเป๋าด้วยครับ สะพายเป้ขึ้นเครื่องไปเลย ประหยัดงบอ่ะ บินลัดฟ้าใช้เวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง
                       ที่ปีนังนี่เวลาเร็วกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง  ป.ล.อย่าลืมปรับนาฬิกาข้อมือ และเวลาในโทรศัพท์มือถือด้วยนะครับ
                         เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นก้อนเมฆสูงเสียดฟ้า ว้าว เหมือนขนมสายไหมจังเลยอ่ะ (ตอนนั้นอารมณ์แอ๊บมากครับ)
ได้ทดลองดื่มโค้กบนเครื่องบินด้วยครับ (ถึงได้รู้ว่า รสชาติมันก็ไม่ต่างกันนี่หว่า) 
เอาน่า จะมีสักกี่ครั้งที่ได้ดื่มบนความสูงขนาดน้านนน  ตอนอยู่ในเครื่องบินยังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะว่าแอร์เป็นคนไทย ยิ้มสวยงาม พูดจาฉะฉาน  แต่พอเครื่องลงจอดเท่านั้นแหละ  ตื่นเต้นเชียวครับเพราะเริ่มได้ยินเสียงประกาศจากสนามบินเป็นภาษาอังกฤษ พยายามเงี่ยหูฟัง...เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรหว่า  แปลว่าอะไรนะ (พูดอีกทีได้ป่ะ) ตั้งใจฟังทุกอย่าง มีสมาธิสุดๆ แล้วก็เดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆไปอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เจียมตน
                          ต.ม.ที่ปีนัง นี่หน้าตาดุเล็กน้อยครับ แต่ปั๋มตราประทับให้ผ่านด้วยความรวดเร็ว (แหม นึกว่าจะถามอะไร อุตส่าห์เตรียมท่องประโยคไว้เรียบร้อยแล้ว)
                          สนามบินปีนัง เป็นสนามบินที่ไม่ใหญ่ครับ ดูจากสภาพน่าจะเปิดทำการมานานแล้ว มีริ้วรอยตามกาลเวลาเล็กน้อย แต่สะอาด เพียงแต่อารมณ์ทางเดินภายในเหมือนดอนเมืองบ้านเราน่ะครับ แต่มีจุดเด่นที่มีหลังคาเป็นแบบจีนดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ดีครับ เนื่องจากเป็นสนามบินขนาดเล็ก ผมเดินแป๊บเดียวก็ทะลุมาจนถึงประตูทางออก
                    ซึ่งคุณเพื่อนมารอรับตามเวลานัดหมายเป๊ะ  ดีใจมากๆๆ  แล้วเขาก็ขับรถพาไปเที่ยวชมรอบเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงระดับเป็นสิบๆ เมตร เขียวเต็มสองข้างถนน อาคารบ้านเขาถึงแม้จะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ดูสวยงามน่ารักครับ บรรยากาศเหมือนภาคใต้บ้านเราน่ะครับ พร้อมกับพาไปทานอาหารมื้อเช้า หมี่ผัด ขนมจีบ และขนมผักกาด (เอ๊ะ...ในใจคิดว่า มื้อแรกมันกะจะขุนให้ตรูอ้วน ทำน้ำหนัก พร้อมเชือดขายส่งออกเลยรึเปล่าวเนี่ย) แล้วก็ขับพาวนไปชมรอบเมือง ตรงนั้นสนามม้า ตรงนี้สถานทูต ซึ่งสองข้างทางระหว่างจากสนามบินไปตัวเมืองก็เป็นต้นไม้และบ้านเรือนปะปนกัน ยังไม่ค่อยเจอตึกสูงๆ ไฮเทคมากมายครับ

        อ๊ะ อ๊ะ !! อย่าคิดว่างานนี้ผมจะไม่ได้ลุยเดี่ยวนะครับ
      เนื่องจากคุณเพื่อนเปิดกิจการส่วนตัวดังนั้นเขาจึงพาไปที่ร้าน แล้วบอกว่าคงต้องให้ผมเดินเที่ยวย่านเมืองเก่าก่อน    แล้วนัดเจอกัน เขารีบเอาแผนที่มาให้อธิบายผมสองสามรอบ แล้วถามว่าผมเข้าใจรึเปล่าวกลัวว่าผมจะหลงทาง แต่เนื่องจากผมอ่านมาเยอะ ศึกษามาเยอะ (พูดชมตัวเองสักหน่อย) เคยเห็นแผนทีมาแล้ว พอจะนึกภาพออก  ทำให้ผมค่อนข้างเข้าใจมาบ้าง  ช่วงเช้าถึงเที่ยง ผมถึงได้เดินชมย่านเมืองเก่าด้วยตัวเองคนเดียว เดินดุ่มๆไปตามแผนที่และแผนการท่องเที่ยวที่เตรียมไว้ 

โซนนี้มีตึกเก่าแบบไชนีสโปรตุกีส ทาสีสดใสชมพูเขียวฟ้าเหลืองแปลกตาสำหรับผมมาก   เป็นย่านที่ไม่มีอาคารหรูหาไฮเทคอะไร  พื้นถนนเป็นแบบอิฐบล็อกน่ารัก   สองข้างทางมีร้านขายของ วัดแขก วัดจีน โบสถ์คริสต์  มัสยิดประจำเมืองให้ได้ถ่ายรูปเพลินไปเลยครับเป็นโซนที่ทางการอนุรักษ์ไว้  จบถึงเวลาเที่ยง
แล้วก็เดินกลับมาหาเพื่อนที่ร้านอาหารของเขา
ส่วนตอนบ่าย เพื่อนก็ขับรถพาไปทานอาหารเที่ยงแล้วไปส่งที่ศูนย์การค้า งานนี้ผมก็เดินชมเมืองอีกตามเดิม แวะไปดูซีดีเพลงให้เพื่อนไปจนถึงประมาณห้าโมง เพื่อนจึงขับรถมารับครับ  ศูนย์การค้าของเราก็คล้ายๆบ้านเราครับ ส่วนใหญ่ราคาใกล้เคียงกันมากครับ สินค้าจะเหมือนกันแต่ก็มีพวกเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ขนมที่จะพบเจอแบรนด์แปลก หรือแบรนด์ที่บ้านเราเลิกขายไปได้อย่าง คิกคาปู้ ฯลฯ

           
ผมว่าน้ำผลไม้เยอะมากครับ  ตอนแรกผมอยากเที่ยวกลางคืน เพื่อนบอกว่าที่ปีนังนี่ มีผับแค่ทีเดียวครับเพราะรัฐบาลไม่อนุญาตให้เปิดครับ   แต่ผมไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วรึยัง
                     ปีนัง มีสถานที่สำคัญต่างๆมากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นบ้านโบราณ วัดจีน วัดแขกน่ะครับ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมแบบผม น่าจะชอบที่เหมือนได้ย้อนยุคกลับไปสู่อดีตสมัยก่อน  เป็นบรรยากาศที่ไม่ได้พบเจอมาก่อน   ผู้คนที่นีปะปนกันหลายเชื้อชาติ จีน มลายู แขกและหลายศาสนา ทำให้คนที่นี่พูดได้ทั้งภาษาของเชื้อชาติตัวเองคือจีน  มลายู และอังกฤษ   บางประโยคเขาพูดสามภาษาในประโยคเดียวเลยครับ  อังกฤษที่นี่สำเนียงฟังง่ายดีครับ   แต่อาจจะพูดเร็วๆมากเนื่องจ่ากบางคนคุ้นเคยในการทำงานทุกวัน





                        ถนนที่โซนนี้เป็นจะเป็นถนนเล็กๆตรอกซอกซอยตัดกันเป็นบล็อกๆ ทะลุถึงกันได้
อากาศ ที่นี่ร้อนพอๆกับบ้านเราครับ ดังนั้นใครจะไป ควรเตรียมหมวก,ร่ม และทาครีมกันแดดไปด้วยครับ  และฝนตกบ่อย
อาหาร   โดยมากผมจะได้ทานอาหารจีน เพราะคุณเพื่อนเป็นเชื้อสายจีน พี่แกเล่นพาไปเลี้ยงดูปูเสื่อ หมดทั้งสามมื้อครับ เป็นครั้งแรกที่ได้ทานลอดช่องขนาดถ้วยมหึมา  ลอดช่องที่นี่ใส่ทั้งถั่วแดง ลูกเดือย วุ้น แล้วก็ไม่ใช่ปริมาณถ้วยเล็กๆจิ้มลิ้มแบบบ้านเราครับ แต่มาขนาดเกือบเท่าชามก๋วยเตี๋ยว 


               ขอแนะนำ หมูสะเต๊ะ อร่อยเลิศจริงๆ แถมวิธีการของเขาที่ไม่เหมือนบ้านเราคือ คือใช้พัด พัดให้ไฟลุกท่วมหมูสะเต๊ะครับ แล้วรีบพลิกกลับไปกลับมา ทำให้หมูสะเต๊ะเนื้อนิ่ม ฉ่ำ ไม่แห้งเหี่ยวแบบบ้านเรา ส่วนน้ำจิ้มรสชาติคล้ายๆ บ้านเรา แต่ไม่มีน้ำอาจาดมาเสิร์ฟคู่ครับ แล้วน้ำจิ้มเขาก็มาเป็นเหยือก เหมือนเหยือกน้ำให้เราเทใส่ถ้วยได้เอง  ไม่ได้ใส่ในจานเปลเล็กๆแบบบ้านเราครับ งานนี้ผมเองเทใส่ถ้วยกินน้ำจิ้มหนำใจไปเลยครับ

                อาหารจีนรสชาติใช้ได้เลยครับ หมูกรอบชิ้นใหญ่โต เป็ดย่างชิ้นเบ้อเร้อ และถ้าใครที่ถนัดอาหารภาคใต้อยู่แล้วยิ่งสบาย เพราะมีทั้งมัสมั่นให้ทานครับ น่องไก่ชิ้นโตมาก ราคาอาหารเขาจะแพงกว่าเรานิดนึง แต่ปริมาณให้นี่ระดับ x2  คนที่ปกติทานน้อยๆอาจ ท้องแตกได้ง่ายๆได้
                ลูกชิ้นทอดราดซอส  ไปรถเข็นริมทะเลร้านนึงมีสารพัดลูกชิ้นให้เลือกใส่จาน ราคาลูกชิ้นแต่ละแบบจะไม่เหมือนกัน ตามแต่วัตถุดิบ พอเลือกเสร็จแล้ว ให้เราเลือกหยิบใส่จาน แล้วเราไปนั่งรอที่โต๊ะ เขาจะนำไปหั่นใส่จาน ราดซอสมะเขือเทศใส่แตงกวาและผักราดบนมาให้ อร่อยดีครับ
ค่าเงิน     ค่าเงินมาเลเซียกับไทยคิดง่ายมากครับ   ให้คูณ 10 ไปเลยครับ   ยกตัวอย่าง 19.9 = 199 บาทไทย  ง่ายที่สุดไม่ต้องคิดให้ปวดหัว

สถานที่เที่ยวน่าควรไปได้แก่
1. Penang Hill ด้านบนมีเจ้าแม่กวนอิมให้ไปกราบไหว้ ขอพรด้วยครับ และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นๆ เช่น ฮินดู ด้วยครับ
    ผมเคยขอพรว่าให้มีโอกาสได้กลับไปเที่ยวมาเลเซียอีก  ก็สมความปรารถนาได้กลับไปเที่ยวอีกครับ ถึงว่าจะเป็นเมืองอื่นก็ตามครับ

2. วัดจีน  Kek Lok Si     วัดจีนขนาดใหญ่ มีบันไดทางเดินขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆครับ โดยมีศาสนาสถานหลายอาคาร  บริษททัวร์จะพานักท่องเที่ยวมาที่นี่ 

3. บ้านเก่า Cheong Fatt Tze เป็นบ้านเก่าของชาวจีนโบราณ มาเข้ามาตั้งถิ่นฐานในปีนัง แสดงให้เห็นวิถีชีวิต เขาอนุรักษ์ข้าวของเครื่องใช้ของเก่าไว้เป็นอย่างดีครับ
4. Fort  Cornwallis  ป้อมปราการเก่า มีซากปืนใหญ่ และนิทรรศการบอกเล่าประวัติความเป็นมา แถมอยู่ติดกับชายทะเล อากาศเย็น ลมพัดสบายมากครับ
5. Wat Chaiya Mangkalaram  วัดไทยของเรานี่เองครับ  แสดงว่าพุทธศาสนาของเรามีการเผยแผ่มาถึงที่นี่นานพอสมควรแล้ว มีผู้คนมาไหว้กันเยอะนะครับ ทั้งคนไทยและคนมาเลเซียเอง

6. Penang Botanic  Garden  เป็นเหมือนสวนสาธารณะแห่งใหญ่  มีต้นไม้และพันธ์ไม้ต่างๆ ผมไปตอนเช้าเห็นมีคนมาวิ่งออกกำลังกายกันพอสมควรครับ



เครดิตข้อมูลและภาพประกอบจาก http://www.tourismpenang.net.my

          นอกเหนือจากความเป็นเมืองวัฒนธรรม  เมื่อไปยังโซนอื่นๆ ของเมือง ยังพบว่าปีนังมีความทันสมัยมาก มีศูนย์การค้าใหม่ๆอีกเพียบ ตอนแรกผมนึกว่าแถวสยามบ้านเรา เป็นย่านที่มีศูนย์การค้าทันสมัยอยู่ติดกันแล้ว น่าจะเลิศแล้ว พอไปเจอห้างเขาใหญ่โตใหม่กว่าและทันสมัยมากกว่าอีกครับ     ตั้งแต่การจอดรถที่ไม่ต้องใช้พนักงานเป็นระบบรับบัตรจอดรถ  (สมัยเมื่อประมาณหกปีที่แล้วนะครับ) แล้วเวลาจะออกค่อยนำบัตรจอดรถไปจ่ายเงินที่ตู้บริเวณทางออกลานจอดรถ
        มีชายทะเลลม ที่สวยงามพัดเย็นเลยครับ  แต่ผมว่าทรายบ้านเราละเอียด สีขาวสวยกว่าครับ  และเห็นว่าคอนโดมีเนียมสูงปรี๊ดเกิดขึ้นเยอะเลย เพื่อนบอกว่ามีดาราฮ่องกงมาซื้อกันไว้เยอะเลยครับ   นอกจากนี้เขาก็มีโซนอุตสาหกรรมอยู่นอกเมืองด้วยเหมือนกันครับ ตอนขับพาวนรถไปเห็นโรงงานอยู่ต่อๆกัน เป็นคล้ายๆ นิคมอุตสาหกรรมครับ

         ที่ผมชอบมากคือ ความสะอาดของบ้านเรือน  การอนุรักษ์ตึกอาคารบ้านเรือนแบบเก่าๆ ต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศดีมากถึงแม้แดดจะแรง



                สินค้าต่างๆ ก็คล้ายบ้านเราคาดว่าอาจจะเป็น  made in thailand เยอะอยู่ครับ แต่ว่าเฟชั่นบ้านเราจะทันสมัยกว่า,เปรี้ยวกว่า,มีรูปแบบที่หลากหลายมากกว่านะครับ  แต่คนเชื่อสายจีนที่นี่เยอะ ดังนั้นสินค้าแนวจีน จากประเทศจีนขายเยอะมาก 






                  ร้านขายซีดีเพลงก็จะมีเพลง คอนเสิร์ต หนังฮ่องกง ไต้หวันมาขายเพียบครับ (เห็นหน้าคุณพี่เลสลี่ จาง,หลิวเต๋อหัว,จางเซียะโหย่ว เต็มไปหมด)
                  ตลอดสามวันสองคืนที่ผมอยู่ที่ปีนัง เพื่อนจะพาไปเที่ยวบ้าง หรือขับรถพาไปส่ง แล้วก็นัดสถานที่และเวลาเจอกันตามสถานที่เที่ยวครับ  สมัยนั้นยังไม่มี Line , Whatapps ให้นัดหมายครับ ลุ้นกันทุกรอบว่าจะเจอกันรึเปล่าว 555.   Google Maps ยังไม่รู้จักครับ มีแต่ Map ที่เป็นกระดาษกางเดินอย่างเดียวจริงๆครับ กับเอาเอกสารที่เตรียมตัวมาจากบ้าน  ผู้คนที่นั่นยิ้มแย้มดีครับ   เดินไปไหนมาไหนเจอใครมองมาก็ยิ้มๆ ไว้ก่อน  เวลาพูดก็สามารถพูดภาษาอังกฤษสื่อสารกันได้ครับ 
                รถเมลล์ที่นีมีต้นสายอยู่ที่ห้างเก่า (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ประมาณว่า ถ้าหลงทางหรือนั่งผิดสาย ให้นั่งไปเรื่อยๆ รถเมลล์จะวนกลับมาที่ห้างนี้เองครับ ซึ่งเป็นห้างใจกลางเมือง มีห้างใหม่ๆให้เดินเที่ยวเล่นจนเพลินเลยครับ ผมยังได้กางเกงเซิร์ฟ ผ้าลื่น ลดราคาเหลือ 250 บาทมาจากห้างนั้นใส่ได้จนถึงทุกวันนี้เลยครับ (ถึงแม้ว่าจะเริ่มใส่ไม่ได้ เพราะรอบเอวขยาย)
                  ระหว่างท่องเที่ยวผมอาศัยแผนที่กางเดินครับ  ถ้าหลงทางก็ชี้ภาพในแผนที่ถามคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย เช่น พนักงานร้านสะดวกซื้อ,ตำรวจ  ซึ่งทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือดีครับ ถึงแม้บางคนจะพูดเร็วเป็นจรวดฟังไม่ทันก็ตาม  
             ทำให้เป็นทริกแรกที่ผมประทับใจมากครับ เพราะทุกอย่างสะดวกราบรื่นกว่าที่คิดไว้เยอะครับ ไม่อยากกลับมาเมืองไทยเลยครับ แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องโบกมือ บ๊าย บายคุณเพื่อน ที่ช่วยมิตรภาพและความทรงจำดีตราบมาจนถึงวันนี้
             



เกร็ดเล็กๆน้อยๆจากทริปปีนัง
1.เวลาซื้อเครื่องดื่ม ในร้านสะดวกซื้อ เขาจะไม่แถมหลอดให้นะครับ กรุณาอย่าทวงเขาแบบผม
2.อากาศร้อนมาก อย่าลืมเตรียมครีมกันแดดไปด้วย  ผมตัวดำปี๋  
3.อาหารที่นั่น ราคาแพงกว่าไทยนิดหน่อย 10-20 บาท เขาให้ปริมาณเยอะมาก ไก่มาเป็น่องโต หมูชิ้นใหญ่ เตรียมกระเพาะไปได้เลยครับ  โดยเฉพาะถ้าทานพร้อมกับเพื่อนคนจีนแล้วเห็นเราทานไม่หมด  เขาจะถามทันทีว่า  ทำไมทานไม่หมด  ไม่อร่อยเลย ไม่แฮปปี้เหรอ (ป่าว......  ตรูกำลังจุกอยู่เฟ้ย)
4. ตรอกซอกซอยที่นี่ ทะลุถึงกันหมด ไม่ต้องกลัวเดินหลง เดินไปเดินมาเดี๋ยวก็โผล่เอง 
5. อย่าหวังเที่ยวกลางคืนดื่มเหล้าที่เมือง  ที่มาเลเซียเหล้าเบียร์แพงมาก   แต่แอบเห็นผู้หญิงหากินตอนกลางคืนในบางตรอกที่เปลี่ยวเหมือนกันนะครับ  แต่ว่าบรรยากาศน่ากลัวมากก
6.  เขาพูดอังกฤษกันได้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องกลัว แต่อาจจะพูดเร็วมากแค่นั้นเอง
7.  ข้อสุดท้ายสำคัญมาก ขอเตือน  ผู้ชายมาเลเซีย ปากหวานครับ ..........เอาใจเก่งเป็นที่ซู้ด อย่าไปเผลอหลงรักนะครับ  



ไม่มีความคิดเห็น: