วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

(ตอนที่ 1) ปฐมบท จากเมืองไทย ...ไปเหินฟ้าสู่ไต้หวัน

                          
            
หลังจากเล่าเรื่องการไปทำวีซ่าไต้หวันมาแล้ว วันนี้ก็ขอมาเล่าเรื่องการเดินทางบินข้ามฟ้าไปไต้หวันกันนะครับ

                          และเนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ BearIndyzได้ทำการจองตั๋วผ่านเอเจนซี่ด้วยสายการ EVA Air แหม....มันช่างน่ารื่นรมย์ เพราะมีทั้งอาหารและน้ำหนักกระเป๋าได้ตั้ง 20 กก.แน่ะ  ไม่ต้องทนหิวหรือซื้อมาม่าทานบนเครื่องบินแอร์เอเชียเหมือนทริปก่อนๆ
                         ก่อนวันเดินทางไปผมแวะไปแลกเงินทีร้าน Superrich ครับ ฝั่งตรงข้ามกับเซ็นทรัลเวิลด์ เรทค่อนข้างดี อย่าลืมนำพาสปอร์ตตัวจริงไปด้วยเพราะเจ้าหน้าที่เขาจะขอดูแล้วถ่ายเอกสารให้ พร้อมกับกดบัตรคิวครับ ส่วนเรทของธนาคารอื่นๆ....ดูแล้วกดเรทกันเยอะทีเดียว  โดยเฉพาะที่สนามบิน ดังนั้นผมว่าแลกไปก่อนเลยจะดีกว่า

                         ขอเล่าแบบละเอียดเลยนะครับ  สำหรับใครที่อยู่ชลบุรีเช่นเดียวกับBearIndyz ก็สามารถนั่งรถตู้จากศรีราชาไปที่สนามบินสุวรรณภูมิได้เลย แต่ขอให้เช็คเส้นทางนิดนึงเนื่องจาก รถตู้บางเจ้าจะจอดแต่ตรงปากทาง ถ.บางนาตราด แล้วต้องต่อแท็กซี่เข้าไปเอง  แต่บางเจ้าก็ไปจอดภายในอาคารขนส่ง 
BearIndyz ใช้บริการรถตู้เจ้าที่ไปจอดอาคารขนส่ง  เมื่อไปถึงแล้วที่สถานีขนส่ง ก็เดินไปตรงบริเวณชานชาลา จะเห็นรถ Shuttle Bus ฟรี ที่วิ่งรับส่งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ขึ้นไปได้เลย มีพนักงานและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆขึ้นอยู่แล้ว สบายใจได้ 
                          รถ Shuttle Bus จะวิ่งประมาณ 10 นาที ก็มาส่งเราที่อาคารผู้โดยสาร งานนี้เห็นอาคารผู้โดยสารแล้วโล่งใจสบายๆ เพราะช่ำชองกับที่นี่มาก มาถึงแต่เช้าขอแวะหาอะไรกินสักหน่อย เลยนั่งกินข้าวไปกล่องละ 55 บาทสบายใจ  ยังดีที่มี Family mart ขายน้ำราคาปกติอยู่ 


ขั้นตอนง่ายๆ
1.เดินไปที่บอร์ดแสดงรอบการบิน  เช็คไฟล์ทบินไปไต้หวัน โอเคร..สถานะปกติ ไม่มีการแจ้งยกเลิกหรือเลื่อนเที่ยวบิน
2. เปิดดูตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ต โอเคร อยู่ไม่ได้โก๊ะ ลืมไว้ที่ไหน
 (สำหรับ BearIndyz ได้รับเป็นจดหมายของเอเจนซี่ออกมาให้ ตั้งแต่วันที่ไหนจ่ายเงิน โดยแนบแบบฟอร์มของต.ม.มาให้ด้วย  เลยกรอกรายละเอียดเตรียมไว้ตั้งแต่ที่บ้านแล้ว)
3. เดินไปที่ช่องของ EVA Air เห็นมีป้ายหนุ่มทาเคชิ ตั้งอยู่ โอเคร ไม่พลาดแน่ๆ

แต่เนื่องจากไปก่อนเวลาหลายชั่วโมง เลยนั่งเล่นรอเวลาไปเรื่อยๆ พร้อมกับทบทวนโพยแผนการท่องเที่ยว และท่องภาษาจีน   
หนีห่าว แปลว่า สวัสดี   
เซี่ยเซี่ย แปลว่า ขอบคุณ.....ท่องบ่อยๆจะได้ไม่ลืม

                เห็นคนที่นั่งรอใกล้ๆเคาน์เตอร์เช็คอินมีแต่คนหน้าตาจีนๆ อายุระดับคุณลุง คุณป้าและมีฝรั่งนิดหน่อย  พอเคาน์เตอร์เปิดปุ๊บพบว่ามีบริการที่แตกต่างกับสายการบินหางแดง  EVA Airเปิดเคาน์เตอร์ทีเดียว 4 ช่องและมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องการจัดแถว คอยให้คำแนะนำแก่คนที่เข้าคิวด้วย  งานนี้ BearIndyz ได้โหลดกระเป๋าหนักประมาณ 11 กก. (ชั่งตราชั่งมาจากที่บ้านแล้ว) เหลือแค่กระเป๋าสะพานไว้ใส่เอกสารติดตัวขึ้นเครื่องเท่านั้น
                 วิธีการเช็คอินก็แสนง่ายดาย เพียงยืนเอกสารจองตั๋วเครืองบินที่เอเจนซี่มอบให้พร้อมกับพาสปอร์ต   ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่สายการบินรับไปเฉพาะพาสปอร์ตแล้วตรวจรายละเอียด ไม่ถึง 1นาที ผ่านเลยครับ 
ผมเลยถามไปว่า "ไม่ต้องใช้เอกสารจองตั๋วเครื่องบินจากเอเจนซี่เหรอครับ "
ได้รับคำตอบว่า "ไม่เป็นไรค่ะ เช็คจากพาสปอร์ตก็ได้ค่ะ แต่ผู้โดยสารเก็บเอกสารไว้ก่อนนะค่ะ  เผื่อว่าขากลับมีปัญหาหารายชื่อไม่เจอ จะได้มีเอกสารยืนยันค่ะ "
แหม !!มันช่างสะดวกสบาย รวดเร็วจริง

ผมก็ได้รับ Boarding Pass สีเขียวมาใบนึง บอก Gate ขึ้นเครื่องมาเรียบร้อยครับ

                 ไปถึงก่อนเวลามากหน่อย มั่นใจเยอะ หมดห่วงมีเวลาว่างเหลือเยอะ เลยไปนอนหลับพักแรงที่ Gate ครับ....หลังจากตรวจสอบ Gate เรียบร้อยแล้วมีชื่อไฟล์ทบินขึ้นโชว์  
                 เมื่อถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องบินที่นี่ จะมีเจ้าหน้าที่ EVA Air มาประจำที่ Gate ประมาณ 5-6 คนเลย แตกต่างจากแอร์เอเซียที่จะมีอยู่ประมาณ 2-3 คน   โดยเขาจะทยอยเรียกทีละโซน เข้าใจว่าโซนแรกๆน่าจะเป็นบิสซิเนสคลาส  ผมได้โซนสี่โดนเรียกทีหลังครับ
                 วันที่ผมเดินทางไปมีผู้โดยสารจำนวนเยอะทีเดียว แน่นขนัดทีเดียว  ผมได้นั่งติดหน้าต่างด้วย เห็นวิวท้องฟ้าสวยงามมาก

ดังนั้นขอรีวิวเล็กๆเกี่ยวกับสายการบิน EVA Air หน่อยนะ
1. ที่นั่ง มีจอทีวีให้ด้วย มีทั้งหนัง เกมส์ เพลงให้ฟัง  (เพลงโอเคเลยมีเพลงเกาหลีใหม่ๆ 4minutes  SKE48  เพลงใหม่ใช้ได้)  แต่ระบบรวนหน่อย กดไปกดมา มีแฮงค์รีสตาร์ทตัวเองไปสามรอบ
    อาตี๋ข้างๆผมคง งง ทำไมมันแฮงค์บ่อยจังหว่า เขาดูหนังฝรั่งเรื่องเดียวยาวรวด
2.  อาหาร รสชาติแบบจีนๆ ไม่จัดจ้านแบบไทย แต่ก็พอมีรสชาตินะมีเมนูให้เลือกเป็นปลาหรือหมู  เอาอะไรดีน้า...เลยบอกว่าเอาหมู  พอเปิดกล่องมาเป็นหมูผัดหอมหัวใหญ่ราดข้าว รสชาติปานกลางแต่ปริมาณอิ่มทีเดียว
และมีขนมปังทาเนย (ขนมปังอุ่นๆกำลังดี) 
ขนมเค้ก 1ชิ้น (ตอนขาไปขนมเค้กไม่ค่อยอร่อย..แต่ขากลับได้เป็นมูสเค้ก อร่อยดี)
ผลไม้1 กล่องเล็ก ผมไม่ทานผลไม้เลยข้ามไป
สลัดผัก 1 กล่องเล็ก รสชาติธรรมดา
สรุป ประทับใจครับเพราะว่า ปริมาณที่ให้อิ่มดี... BearIndzอิ่มแล้วง่วงนอนมาก
3. การบริการ  พนักงานที่นี่จะพูดจีน,อังกฤษ และไทย  ตอนแรกผมงงเล็กน้อยแยกไม่ออกด้วยคนไหนคนไทยหรือคนจีน เลยต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารน่ะ 

          




        ประมาณสามชั่วโมงกว่า  บินมาถึงสนามบินเถาหยวน
สิ่งที่ชื่นชอบอีกอย่างคือมีบอร์ดใหญ่ตั้งแสดง ระยะเวลาที่เหลือ ระดับความสูง อุณหภูมิภายนอก แผนที่แสดงว่าเครื่องบินบินถึงไหนแล้ว 

        พอใกล้ๆถึงทางแอร์สาวสวยก็จะมาเดินแจกแบบฟอร์มต.ม.ของไต้หวันครับ ใบเล็กๆครับ กรอกไม่ยากอะไร

        สำหรับการผ่านต.ม.นั้น ง่ายสบายมาก ไม่ถามอะไรสักคำ ผ่านฉลุย  แต่รู้สึกว่าสนามบินที่นี่จะช้าเรื่องโหลดกระเป๋าเพราะรอนานมากเกือบชั่วโมงน่ะ..อาจจะเป็นเพราะมีเครื่องบินมาลงเวลานี้พร้อมๆ กัน  แล้วมีการย้ายสายพานด้วย ตอนแรกให้ไปรอสายพานนึง สักพักป้ายข้อความขึ้นข้อความว่าให้ย้ายไปอีกสายพาน ผู้คนก็เฮโลเดินย้ายกันไป
        คนยืนรอกระเป๋ากันขาแข็งไปเลย  เมือได้กระเป๋ามาแล้วก็รีบเดินทันที เพราะมีนัดกับโฮสเทลไว้หนึ่งทุ่ม แต่นี่ห้าโมงนิดๆแล้ว

        พอเดินออกมาที่ช่องขาออก ให้เดินไปทางขวานะครับ จะมีเคาน์เตอร์รถ ซึ่งการเดินทางไปไทเปจะมีหลายแบบดังนี้
1.แบบนั่งรถไฟฟ้าความเร็ว โดยคุณจะต้องซื้อตั๋วรถวิ่งที่สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เมืองเถาหยวนแล้วนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงไปไทเป
2. แบบนั่งรถบัสยาวไปถึงเมืองไทเปเลย 
ผมเลือกวิธีนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพราะว่ากลัวรถติดน่ะครับเลยซื้อตั๋วไปที่สถานีขนส่งเมืองเถาหยวน  Ubus 30 NTS  ซื้อแล้วก็มาขึ้นรถบัสที่จอดรถอยู่ด้านข้าง
       ใช้เวลาวิ่งประมาณ 30 นาที รถบัสจะมาถึงสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง เป็นอาคารไม่ใหญ่มากแต่ดูทันสมัย เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ที่นี่พูดภาษาอังกฤษดีมาก...แต่พูดเร็วเกินไปนิด ผมฟังไม่ทัน จับคำไม่ออก 555 พยักหน้ายิ้มรับเข้าไว้แล้วกล่าว เซี่ยะเซี่ยะหนี่






         มีเรื่องฉุกละหุกนิดหน่อยเพราะตอนซื้อตั๋วเป็นเวลา17.30พอได้ตั๋่วมาเห็นตั๋วระบุเวลารถมา 17.40 น. อุ๋ย! เหลืออีกแค่สิบนาทีเอง ชานชาลาอยู่ไหนเนี่ย  เดินวนไปมาสักพัก  เจอแล้ว.....เลยรีบวิ่งไป เดินลงไปบันไดเลื่อนมีสองชานชาลา ปรากฏว่าไปผิดชานชาลาครับ ต้องวิ่งย้อนมาอีกชานชาลานึ เกือบไม่ทันเพราะรถไฟฟ้าความเร็วสูงมาถึงพอดี

ตอนนี้ราคาเป็น 175 NTS แล้ว ใช้เวลาถึงปลายทางที่ Taipei 18.00  แค่ยี่สิบนาทีเอง 



รีวิวรถไฟฟ้าความเร็วสูง
  •  ในตั๋วจะมีการระบุโบกี้ และเลขที่นั่งด้วยนะครับ กรุณานั่งตามตั๋ว
  • เวลาเดินผ่านแต่ละโบกี้จะมีประตูไม่ใช่ระบบเซ็นเซอร์นะครับ ต้องกดปุ่มเปิด ที่อยู่ด้านขวา ตอนแรก BearIndyz เดินเกือบชนประตูเพราะนึกว่าจะเป็นเซนเซอร์เปิดอัตโนมัติ
  • ไม่ต้องกลัวลงไม่ถูก เพราะมีทั้งป้ายตัววิ่งภาษาจีนและภาษาอังกฤษแสดงสถานีให้ทราบ   บอกทั้งอุณหภูมิ  ความเร็วของรถ ให้ผู้โดยสารทราบ
  • คนที่นั่งกันเงียบๆนะครับ ไม่ค่อยเห็นใครส่งเสียงอะไรเลย
  • ที่นั่งสะอาด ไม่มีขยะให้เห็น ตรงที่นั่งมีนิตยสารให้อ่านด้วย
       แป๊บเดียวมาถึง Taipei mainstation สถานีชุมสายใหญ่โตอลังการ คราคร่ำไปด้วยผู้คนเพราะรวมทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้า และอยู่ติดสถานีรถบัสเป็นจุดต่อเปลี่ยนขบวนรถมาไว้ทีนี่ 

     ไปถึงปุ๊บผมรีบหาซื้อบัตร Easy Card ที่ตู้กดทันที งงเล็กน้อย แต่ก็ซื้อและเติมเงินได้สำเร็จ บัตรสามารถใช้ได้ตั้งรถไฟฟ้าและรถเมลล์
แต่กรณีนี้ผมพลาดไปนิดนึงเพราะคำนวณแล้ว  ถ้าผมซื้อบัตรแบบรายสามวัน Unlimit น่าจะคุ้มกว่า อันนี้เพื่อนๆอาจจะต้องลองวางแผนดูว่ายังไง เพราะผมเดินทางสี่วันเติมเงินไปประมาณ 500 NTS 

       แล้วหาป้ายไปสถานีรถไฟฟ้า วัดหลงซาน ซึ่งห่างไปอีกสองสถานีเท่านั้นเอง แนะนำว่าให้หยิบแผนที่รถไฟฟ้าในสถานีติดตัวมาด้วยนะครับ เขาจะมีวางไว้ที่มุมต่างๆมีหลายภาษาทั้ง จีน ญี่ปุ่นและอังกฤษ  (แต่ไม่มีภาษาไทยนะ 5555) จะทำให้เข้าใจเส้นทางเดินรถได้ง่ายขึ้น


      
          เนื่องจากช่วงที่ผมไปถึงเป็นช่วงหกโมงเย็น ผู้คนเลยมหาศาลเดินกันขวักไขว่ไปหมด จนในที่สุดก็ได้มาเจอกับคนดูแลโฮสเทลที่วัดหลงซาน เรานัดกันภายในสถานีรถไฟ ทางออกที่1 เขามายืนรอที่หน้า 7-11 มาต้อนรับและพาไปโฮสเทล เดี๋ยวจะมาเล่าการท่องเที่ยวในโพสต์ต่อไปนะครับ
 
   

                

ไม่มีความคิดเห็น: