ตอนแรกที่คิดว่าไม่อยากเล่าลงรายละเอียดมากนัก แต่มีคนถามไถ่กันมาเลยจัดให้ ต้องใช้เวลานึกย้อนหลังกลับไปนานหลายปีทีเดียว ตั้งแต่เมื่อประมาณห้าปีก่อน ผมเจอเรื่องราวรุมเร้าหลายเรื่องเริ่มต้นด้วย
ในตอนนั้นผมมีแฟนแล้ว เราคบกับกันมาห้าปี เขาเป็นคนดี สุภาพ ในช่วงปีแรกๆ ที่คบกัน ทุกอย่างสวยงามมาก ถึงว่าเขาเป็นคนบ้าทำงาน เวลาทำงานแล้วจะไม่รับสาย เรามีอายุที่แตกต่างกันประมาณ 13 ปี ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับตัว เรียนรู้ซึ่งกันและกันไป.....เราคบกันจนถึงขั้นจะซื้อคอนโดอยู่ด้วยกัน เขาซื้อแหวนให้ ทุกอย่างดูสวยงามไปหมด
ในที่สุดผมก็มีคนรัก ชีวิตนี้ช่างเหมือนกับเทพนิยายตามความคิดของช่วงอายุนั้น แต่พอนานเข้าหลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงปีหลังเขาย้ายที่ทำงานใหม่ไปต่างจังหวัด การติดต่อเริ่มยากขึ้น เขาไม่ค่อยรับสาย ไม่โทรกลับมา พอโทรไปก็คุยนิดหน่อยจนห่างกันไปทุกที จากที่เคยคุยกันทุกวัน ก็เป็นสองสามวันต่อครั้ง เพิ่มมาเป็นสัปดาห์ละครั้ง จนถึงขนาดว่าไม่ค่อยรับสาย เดือนๆ นึงคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ก็อดทมานเรื่อย จนมาถึงวันนึงครั้ง มันเหมือนมีฟางเส้นสุดท้ายในความรู้สึก ผมโทรไปหาเขาตามเดิม โทรศัพท์อยู่นานกว่าเขาจะรับสาย น้ำเสียงรับสายเอื่อย เหมือนไม่มีความรู้สึกยินดีที่ผมโทรไป ผมโทรศัพท์เอ่ยปากถามเขาว่า
"ที่ผ่านมาทำไมถึงเงียบๆหายกันไป มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าวครับ"
เขานิ่งเงียบไม่ตอบอะไร ผมเลยเอ่ยปากถาม
"พี่คิดว่าจะเงียบไปแบบนี้ไปสักระยะ แล้วกลับมาดูกันอีกทีว่าความสัมพันธ์เราจะเป็นอย่างไร หรือว่า เราจะแยกห่างกันไปเลยครับ"
เขานิ่งเงียบไปสักพัก แล้วตอบกลับมาว่า "ผมขอเลือกแบบหลังแล้วกันครับ ผมว่าเราแตกต่างกันมากเกินไป ผมเหนื่อยปรับตัวแล้ว ผมว่าเราไปด้วยกันไม่ได้หรอก"
ผมช็อคไปเลยมือชาตัวชาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ระยะเวลา 5 ปีที่คบกันมา มาถึงสุดทางแล้ว โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัว มึนงงไปพักนึง ตอนนั้นน้ำตาไหลยังไม่ไหล กลับมาบ้านถึงได้ร้องไห้ ทำใจไม่ได้
เพราะตอนนั้นหลายเรื่องมารุมเร้า ทั้งเพิ่งเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งเงินเดือนไม่ดี ทำงานเป็นกะๆ เป็นงานที่ผมไม่ได้ชอบหรืออยากทำ แต่จำใจทำเพราะเงินเก็บจะหมด เครียดมาจากเรื่องงานแล้ว มาเจอเรื่องนี้อีก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีโทรศัพท์ดังมาจากพี่ที่เคยทำงานร่วมกันในกรุงเทพฯ โทรมาตามให้ไปทำงานกับเขา จึงทำให้ผมรีบตัดสินใจไปทันที ทั้งๆที่ต้องไปหาหอพักใหม่ อยู่ในย่านชานเมือง... ตอนนั้นไปแบบเสื่อผืนหมอนใบ เอากระเป๋าเสื้อผ้าไปใบเดียว เดินหาหอพักเอง ถนนหนทางก็ยังไม่รู้จัก...ดีที่มีเพื่อนอยู่คนนึง คอยช่วยเหลือแนะนำต่างๆ ถ้าไม่ได้เพื่อนคนนั้นผมคงจะแย่มาก
ตอนนั้นเครียดมาก เครียดทั้งงานที่เปลี่ยนแปลงไปมา การย้ายกลับเข้ามากรุงเทพฯ หัวใจที่แตกสลายพังยับไม่มีชิ้นดี การเงินก็ช็อต จะใช้จ่ายอะไรก็คิดแล้วคิดอีก ประหยัดทุกเรื่อง...ถึงขนาดว่าเช่าห้องแบบที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ เพื่อให้ลดค่าหอ นอนกับพื้นกระเบื้องเย็นๆทุกคืน เสื้อผ้าของใช้ก็กองไว้กับพื้นห้อง แล้วถึงทยอยซื้อหมอน ชั้นวางของมาทีละอย่าง
การทำงานที่ใหม่ ไม่ยากอย่างที่คิด ผมสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และเนื้อหาของงานไม่มากเท่าไหร่ ผมเลยได้พอมีเวลาว่างพอสมควรในแต่ละวัน
ช่วงนั้นสภาพจิตใจผมยังแย่มากครับ เวลาทำงานไม่มีอะไร แต่พอกลับไปที่หอ อยู่คนเดียวนั่งร้องไห้ บางวันกินข้าวเย็นไปน้ำตาไหลลงมา นอนไม่หลับ ตื่นมากลางดึกร้องไห้บ่อยๆ จนรู้เลยว่า ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเป็นอย่างไร ขมขื่นมากแต่ไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา พอเวลาออกไปทำงานข้างนอก เวลามีอะไรให้ทำ ทำโน่นทำนี่ ติดต่อประสานก็จะลืมๆ ไปครับ ไม่คุย แต่พอมีเวลาว่างอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ก็จะร้องไห้ทุกที
ภาพของวันเวลาแห่งความทรงจำ ย้อนกลับมาเสียดแทงหัวใจอยู่เสมอ
ตอนนั้นผมเลยเริ่มเล่น Hi5 ที่ฮิตที่สุดในตอนนั้น เหตุผลหลักเลยคือเพื่อฆ่าเวลาไม่ให้ฟุ้งซ่านคิดมากคิดถึงพี่เขา ให้เวลาหมดๆ ไปในแต่ละวัน
เลยได้ไปรู้จัก คนมาเลเซีย คนหนึ่ง เขาก็เป็นคนหน้าตาดี เท่ห์ เล่นกล้าม ตอนแรกก็ทักทายนิดหน่อยเพราะตอนนั้นผมลืมภาษาอังกฤษไม่มาก พอระยะหลัง เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น ก็เลยคุยกันผ่าน MSN มากขึ้น ผมเองรู้สึกสนุกที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ได้ฝึกฝน หาคำศัพท์คำแปลคุยกับเขาไป
จากการพูดคุยทักทายปกติตอนแรก ต่อมาระยะหลังเราเริ่มแชร์เรื่องราวในชีวิต มุมมองความคิดเห็นต่างๆ เราคุยกันแทบทุกวัน จนเขาแทบจะกลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงของผมอีกคน ทำให้ผมลืมความเครียด เรื่องราวปัญหาต่างๆที่มารุมเร้าได้ เขาคอยให้กำลังใจ ให้แง่คิดในการดำเนินชีวิต
ผมเล่าเรื่องราวความรักที่ผิดหวังให้เขาฟัง เขาก็ให้กำลังใจและคอยปลุกผม ไม่ให้จมอยู่กับความผิดหวังและเศร้าสร้อย ผมยังจำได้ว่ามีประโยคเขาพูดว่า
"พอแล้วนะ คุณร้องไห้ให้ผู้ชายคนนั้นมามากพอแล้ว วันนี้หลังเลิกงานผมขอให้คุณแต่งตัวไปเที่ยว ไปหาความสุขให้กับชีวิตนะ "
จนในตอนหลัง บางวันเขาส่ง sms ข้อความมาทักทายข้ามประเทศ ทำให้ผมมีความสุข แล้วเริ่มชอบเขานิดๆ
แล้วเวลาผ่านไปจน 6 เดือนที่เราพูดคุยทักทายกันแทบทุกวัน เขาก็เอ่ยปากชวนผมไปเที่ยวปีนัง ตอนแรกผมยังลังเล ตอบเขาไปว่าผมไม่เคยเที่ยวต่างประเทศเลย เขาก็คอยให้คำแนะนำ ประกอบกับตอนนั้นการเงินผมเริ่มดีขึ้น ปัญหาหลายอย่างเริ่มคลี่คลายไปตามกาลเวลา
การที่ผมผ่านอะไรมาหลายอย่างพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน สิ่งที่หนึ่งที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงมุมมอง ดังนั้นผมจึงเห็นมีโอกาสไปเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ถ้าเป็นเมื่ก่อนผมคงไม่กล้าไป แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป
"เมื่อชีวิตยื่นโอกาสมาให้ ทำไมจะไม่คว้าไว้ล่ะ"
ถึงแม้ว่าจะเป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียว จองตั๋วเอง ตอนนั้นเพื่อนมาเลเซียคนนี้ ก็คอยให้คำแนะนำต่างๆ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องทำเองทุกอย่าง ประกอบกับอินเตอร์เน็ท ยังไม่ทันสมัยแบบนี้ หอผมเองยังไม่มีอินเตอร์เน็ทใช้ เวลาจะหาข้อมูลต่างๆ ก็ต้องอาศัยร้านอินเตอร์เน็ทคาเฟ่ แล้วจดบันทึกหรือปริ้นท์เอา ผมไปทำวีซ่า จนไปถึงจองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชียด้วยตัวเองทั้งหมด
โดยผมได้วางแผนการท่องเที่ยวไว้แล้วว่า ถ้าเขาไม่มารับตามสัญญา ผมก็เดินทางเที่ยวปีนังด้วยตัวเอง เตรียมข้อมูลที่พัก การท่องเที่ยวด้วยตัวเองไว้เป็นแผนสำรอง โดยเขาเองก็ส่งชื่อ ที่อยู่มาให้ผมเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผม กิจการร้านอาหารของเขาก็มีตัวตนจริงๆ ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก สามารถค้นหาเจอใน google รวมถึงมีชื่อเขาเป็นเจ้าของร้านปรากฏในหลายเว็บไซด์ที่แนะนำร้านอาหารในปีนัง
ยิ่งใกล้วันเดินทางก็ยิ่งสับสน กล้าๆ กลัวๆ วิตกกังวลไปทุกเรื่อง แต่คงเป็นเพราะผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะ เรื่องแบบนี้ไปเที่ยว ไม่เจอเพื่อนมารับ ยังไงก็เที่ยวเองได้นี่นา....ถึงยังไงก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต
สำหรับรายละเอียดการเดินทางบางส่วนผมเขียนไว้แล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้นะครับ ขอข้ามแล้วกันนะครับ แค่เป็นว่าเขาเดินทางมารับตามที่คุยกันไว้ ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาตัวจริง คนที่คอยให้กำลังใจ ฉุดผมขึ้นมาจากความเศร้าใจ ทำให้รอยน้ำตาจางหายไป เขายิ้มพร้อมตะโกนเรียกชื่อ เขาโผเข้ามากอดรับผมที่สนามบินเลย
ตัวจริงเขาหล่อกว่าในรูปที่เคยส่งหากันอีกครับ สูงเท่าผม แต่กำยำล่ำสันมาก....แล้วเขาก็พาไปที่รถขับพาผมชมเมือง ก่อนจะพาไปที่บ้านเขาครับ เมื่อไปที่บ้านเขา ก็ได้เจอแม่เขาและน้องชายเขาครับ ผมรู้สึกดีมากที่เขาแนะนำให้รู้จัก แม่และน้องชายเขาเป็นกันเองมาก
ตลอดทริปเขาดูแลผมดีมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันตลอดเพราะเขาเปิดร้านอาหาร อยู่ในย่านกลางเมือง เขาต้องไปเปิดร้าน ดูแลร้าน ต้อนรับลูกค้าด้วยตัวเอง แต่เขาก็ขับรถไปส่งแล้วนัดหมายเวลาไปรับ พอตอนเย็นเมื่อเขาปิดร้านแล้ว เขาก็ขับรถพาไปเที่ยวรอบเมือง อาหารทุกมื้อเขาพาไปกิน ขนาดปลุกผมตอนเที่ยงคืน บอกว่ากลัวผมหิว แล้วทำบะหมี่หมูแดงให้กิน ตลอดสามวันเขาพาไปร้านอร่อยๆ พาไปเที่ยว คอยถ่ายรูปให้ ผมแทบไม่ต้องจ่ายเงินตัวเองสักบาท ผมมีความสุขมากครับ
หัวใจผมกลับมาเต้นแรงอีกครั้งเมื่อยู่ใกล้เขา การเทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ตลอดสามวัน ทำให้ผมรู้สึกว่า คิดไม่ผิด ที่มาเจอเขา โลกกลับมาเป็นสีขมพูอีกครั้ง
จนวันสุดท้ายที่เขาส่งผมขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย เขาก็ยังคงสัญญาว่าจะติดต่อผมบ่อยๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ตอนนั้นเขาคงไม่รู้ว่า ผมชอบเขาแบบเต็มตัวไปแล้ว รอยยิ้ม การดูแลเอาใจใส่จากเขา มันทำให้ชีวิตผมกลับมาสดชื่นได้อีกครั้ง เขาเหมือนปฏิหารย์จากฟ้าที่ส่งมาปลอบโยนหัวใจผม หลังจากบินกลับมาแล้ว เราก็ยังพูดคุยแชทกันอยู่เหมือนเดิม ผ่านไปอีกประมาณเดือนนึง ในที่สุดวันนึงระหว่างคุยกัน
ผมถามเขาว่า "ทำไมเขาถึงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที "
เขาตอบว่า "ผมรักอิสระมากจนไม่คิดจะจริงจังกับใครอีกแล้ว อยากมีแค่เพื่อนไปเรื่อยๆมากกว่า"
ผมรวบรวมความกล้าสารภาพความในใจกับเขาไปว่า "ผมรู้สึกชอบคุณมาก เป็นแฟนกับผมได้ไหม"
เขาตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล "ผมขอโทษ ผมยังรู้สึกรักอิสระอยู่นะ เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปดีกว่านะ"
ผมเสียใจแต่คงเป็นเพราะหัวใจมีภูมิต้านทานมาจากอกหักจากแฟนคนแรกมาแล้ว จึงเสียใจอยู่ไม่นานนัก และเราก็ยังคุยกันต่อเรื่อยต่อมา จนพอวันเวลาผ่านไปต่างคนก็ต่างห่างหายไป ผมเองก็ย้ายที่ทำงานใหม่ไม่สะดวกคุยกับเขา เขาเองก็ปิดกิจการร้านอาหารที่ปีนังไปทำงานเป็นระดับหัวหน้าพ่อครัวในโรงแรมบนเกาะ เขาไม่ค่อยออนไลน์ ผมเองก็ทำงานกลับดึก ..อีเมลล์ที่เคยใช้คุยกับเขาก็โดนไวรัส พาสเวิร์ดเปลี่ยนใช้งานไม่ได้ ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ทำการให้ติดต่อยากขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มคุยกันได้น้อยลง...น้อยลงเรื่อยๆ
เมื่อประมาณสามปีก่อนเขามาเที่ยวกรุงเทพฯ เขาส่งข้อความมาบอกผม หลังจากไม่ได้ติดต่อกันมาสักระยะนึง ตอนนั้นผมงานรัดตัวมาก ไม่มีเวลาออกไปเจอเขาเลย เลยเวลานัดหมายไปนาน เขาแจ้งมาแค่ว่าเขานั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อนที่ร้านอาหาร ผมเร่งเคลียร์งานอย่างเต็มที่รีบนั่งแท็กซี่ไปหา ในใจว่ายังไงต้องไปหาเขาให้ได้คิดถึงเขามาก แล้วผมรีบเดินเข้าไปในร้านอาหารนั้น
ผมเจอเขาอยู่กับเพื่อนใหม่เป็นสิบคน นั่งล้อมวงพูดคุยอยู่ ทุกคนที่อยู่รอบตัวเองล้วนแต่หน้าตาดี หุ่นดี ดูดี ภูมิฐาน เมื่อหันไปมองเขา เขามองกลับมาแล้วยิ้มนิดนึง.......แต่ไม่มีคำพูดทักทาย ไม่มีการโผเข้ามากอดเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการเรียกชื่อผม ผมได้แต่ยืนนิ่งๆไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จนได้แต่นั่งที่โต๊ะข้างๆ มองดูเขาพูดคุยกับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ เขามองมาที่ผมบ้างเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไร ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ที่โต๊ะนั้น
จนท้ายที่สุดพวกเขาก็ลุกกันออกไปจากร้าน เขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างผมแทบไม่เชื่อตัวเอง ช็อคเล็กๆ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในวันนั้นคือ
ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง......เวลาเปลี่ยนแปลง คนก็เปลี่ยนไป
ผมไม่ได้โกรธ หรือโมโหเขานะ มีเพียงความรู้สึกเศร้าใจ เหงาจับใจเพราะเราห่างกันมาสักระยะแล้ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ทุกวันนี้ผมยังคงมีเขาเป็นเพื่อนใน Facebook ได้เข้าไปมองดูเขาโพสต์เรื่องราวต่างๆในชีวิต แอบดูอยู่ห่างๆ ทำได้แค่กด Like บ้างบางครั้ง เขายังคงรักอิสระตามที่เขาบอกไว้จริงๆ มีคนมากมายมาชอบเขา พูดคุยทักทาย ด้วยการดูแลเทคแคร์เอาใจใส่ของเขา มีคนมากมายรุมล้อมเขา เขามีเพื่อนใน facebook เป็นหลักพัน ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ มีเพื่อนสนิทอยู่ในหลายประเทศ ยังคงทำงานอยู่ที่โรงแรมบนเกาะนั้น บางครั้งเจ็บแปลบที่หัวใจเวลาเขาโพสต์ภาพคู่กับเพื่อนใหม่ๆ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีที่ยังเห็นเขามีความสุข มีชีวิตอิสระตามที่เขาชอบ ผมไม่แน่ใจนะว่าทำไมเราถึงห่างกัน การหาสาเหตุคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ นอกจากยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างน้อมรับ
แต่ถึงยังไงเขายังคงเป็นความทรงจำดีๆ ในช่วงหนึ่งของชีวิตหมีอ้วนคนนึง ผมมีความสุขเสมอที่นึกย้อนหลังกลับไป เขาเป็นคนแรกที่สร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางไปต่างประเทศด้วยตัวเองให้แก่ผม ช่วยทำให้ผมลุกขึ้นยืนได้หลังจากอกหักจากความรัก และได้เรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ ทั้งทุกข์และสุข สร้างรอยยิ้มและน้ำตาให้แก่ผมครับ
ยังไงก็ต้องขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เขาเคยมอบให้ และผมคงจะยังจำไปอีกนานแสนนาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น