วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ทริปแรกของพาสปอร์ต ลุยเดี่ยวเสี่ยงดวง..ไปกับ โฮจิมินห์

     
                       สำหรับทริปที่โฮจิมินห์นี้ ขอเล่าย้อนกลับไปประมาณสามปีที่แล้ว  ตอนนั้นยังทำงานประจำอยู่ วันดีคืนดีเกิดจิตปิตินึก อยากไปทำพาสปอร์ตซะงั้น  ก็เลยลางานแว้บไปทำตอนเที่ยงวันจันทร์ ไปทำที่ศูนย์ราชการครับ สะดวกดีนะรอแป๊บเดียวเองไม่นานเท่าไหร่   ตอนนั้นลืมโกนเคราไปด้วย เลยใบหน้าเป็นโจรเล็กน้อยครับ  แล้วได้ใบนัดไปรับพาสปอร์ตวันศุกร์ มีเลขที่พาสปอร์ตมาให้
     พอวันอังคารมาช่วงว่างๆ ก็นั่งเช็คราคาแอร์เอเชีย กดวันที่ไปเรื่อยๆ  สี่เดือนหน้าไปไหนดีเอ่ย สามเดือนหน้าไป กดยังไงก็ไม่มีราคาโปรมีแต่ราคาปกติ กดไปกดมาไม่ได้สักที หงุดหงิดแล้วนะ  เลยประชดกดราคาของวันศุกร์

               OMG  มีราคาไปกลับ โฮจิมินหฺ์สี่พันบาท ......เอาล่ะสิ เอาล่ะสิ ติ๊กต๊อก....... เอายังไงดี จะรอโปรก่อนไหม  แต่ราคาโปรจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ  คิดในใจลังเลชะมัด...ผ่านไปสองชั่วโมง
       เอาว่ะ......สัปดาห์นี้ก็ว่างนี่นา.....ไปเลยดีกว่า  ไปก็ไป เลยตัดสินใจจองไปเลย 555  ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับเล่มพาสปอร์ต จองโดยเอาเลขที่พาสปอร์ตตามใบนัดรับพาสปอร์ตกรอกลงไป  ในใจคิดว่าทำไงได้อ่ะ 

  • พาสปอรฺ์ตตัวจริงก็ยังไม่ได้รับจะเสี่ยงไปไหม  
  • เขาให้นัดไปรับวันศุกร์ แต่ได้รอบบินตอนบ่ายๆ จะทันไหมอ่ะ  
  • แล้วต.ม.เวียดนาม เค้าจะไม่ว่าอะไรเหรอ  รับเล่มพาสปอร์ตวันแรกก็บินมาเลยเนี่ย

        สองวันที่เหลือเลยหาข้อมูลแบบสู้ตาย  เลิกงานกลับบ้านปุ๊บ เข้าร้านเน็ทปริ้นท์เอกสารทันที ได้แผนที่มา พร้อมกับรายละเอียดการท่องเที่ยวจากนักท่องเน็ท ซึ่งดีที่ว่าโฮจิมินห์ มีย่านท่องเที่ยวบริเวณมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่พอสมควร  แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ไปต่างจังหวัด ไปแค่เฉพาะโฮจิมินห์ละแวกที่สะดวกเท่านั้น
        การจองโรงแรมไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ได้จอง 5555  ไปหาเอาดาบหน้า 

        พอถึงวันศุกร์ปุ๊บ  หอบกระเป๋าเสื้อผ้ามาที่ทำงานด้วย ซึ่งด้วยระยะเวลาที่น้อยมากเลยใช้เป็นกระเป๋าแบบธรรมดา ใส่เสื้อผ้ายัดๆ ไป ไม่ได้ซื้อกุญแจล็อคหัวซิปด้วย ทุกอย่างเร่งหมด ไม่มีเวลาไปหาซื้อ ปริ้นท์ใบจองตั๋วของแอร์เอเซียเก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว  แล้วในใจภาวนา ขอให้ไปรับพาสปอร์ตได้อย่างราบรื่น และไม่มีคิวยาวด้ด้วยเถอะ  เพราะออกเดินทางตอนบ่ายๆ  โดยกะว่าต้องไปถึงสนามบินตอนบ่ายสอง เผื่อรถติด
       พอประมาณสิบโมงก็ออกจากบริษัท นั่งแท็กซี่ไปรับพาสปอร์ต โชคดีครับมีคนเข้าคิวอยู่แค่ไม่กี่คน 
ผมยืนใบรับพาสปอร์ตพร้อมกับมืออีกข้างก็ถือกระเป๋าเดินทางไปด้วย  เจ้าหน้าที่ยื่นมาให้พร้อมยิ้มสวย  เปิดดู   โอ้ว...เราก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย  แต่ดูโหดไปนิด มีเคราด้วยอ่ะ โอเคเลขที่พาสปอร์ตตรงกับข้อมูลที่กรอกไปกับแอร์เอเชีย ตัวสะกดตรงกัน
        พาสปอร์ตเล่มใหม่เอี่ยม  พร้อมเหินฟ้าไปโฮจิมินห์กับผมแล้ว  พอเสร็จแล้วก็ย้อนกลับมานั่งรถไฟฟ้าไปสุวรรณภูมิ (ตอนนั้นแอร์เอเชียขึ้นที่สุวรรณภูมิครับ)  ก็นั่งเปิดดูพาสปอร์ตใหม่กิ๊ก  ได้รับวันแรกตอนเช้าก็เอาไปใช้ไปเวียดนามทันทีเลย  

         สำหรับการบินไปเวียดนามก็ประมาณหนึ่งชั่วโมง  ผมไปถึงสนามบินเวียดนามประมาณห้าโมงกว่า ต.ม.เวียดนามหน้าดุตามเรียบร้อย แต่ก็ปั๊มผ่านให้ได้ครับ  ส่วนตอนรอกระเป๋าก็ลุ้นว่าสภาพจะเลอะรึเปล่าว เพราะไม่มีเวลาซื้อกุญแจล็อคหัวซิป  ส่วนเอกสารสำคัญผมก็ใส่กระเป๋าเล็กพกติดตัวน่ะครับ   งานนี้โอเค กระเป๋าไหลมาสภาพยังดีอยู่ ข้าวของอยู่ครบ รีบจ่ำเท้าเดินออกมาข้างนอกก็เป็นเวลาหกโมงเย็นพอๆ ดี
ปรากฏว่าอ่านจากกระดาษปริ้นท์มาบอกว่าจะมีสายรถเมลล์ วิ่งเข้าเมืองผ่านย่านฟามงูเหลา ซึ่งเป็นย่านรวมที่พักราคาถูกและอยู่ใจกลางเมือง  ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวหลายที่  

         เดินวนไปวนมา นึกได้ยังไม่ได้แลกเงินเวียดนามด้วยนี่นา  พกมาแต่เงิน US$ เดินกลับเข้าไปในสนามบินหาเคาน์เตอร์แลกเงิน โอ้ว......เคาน์เตอร์ปิดหมดแล้ว ปิดสนิท คิดว่าน่าจะปิดตั้งแต่ห้าโมงด้วยซ้ำมั่งครับ ไม่แน่ใจนะ แต่ว่าปิดทุกเคาน์เตอร์จริงๆ เหลือแต่ร้านกาแฟ  สุดท้ายเลยต้องไปแลกเงินกับร้านกาแฟ ซึ่งตอนแรกก็กลัวว่าจะโดนหลอกรึเปล่าว เพราะพอคุยกันเสร็จเขาก็หยิบเงินไปหลังร้าน แล้วหายไปสักพัก ในใจคิดว่าจะซวยรึเปล่าวตรู 
         แต่สักพักก็เดินออกมานำเงินมาให้ครับ   นับดูเช็คแล้วก็ให้เรทโอเคนะ ได้เงินมาเยอะพอควร  แต่ผมแลกไปประมาณส่วนหนึ่งนะครับ ไม่ได้แลกทั้งหมด ยังเก็บไว้เป็น US$ อีกเยอะน่ะครับ

        พอเดินออกมาที่ด้านหน้าสนามบิน เห็นมีรถเมลล์จอดอยู่ ดีใจรีบขึ้นไปนั่งปรากฏว่ามีคนมาบอกว่าไม่ได้วิ่งแล้ว เขาจอดเฉยๆ  รถเมลล์เที่ยวสุดท้ายหมดไปตั้งแต่หกโมง  หันมาดูนาฬิกาอีกที นี่หกโมงครึ่งแล้วนี่นา  แล้วตรูจะเข้าเมืองยังไง......... 
          นึกอะไรไม่ออก เครียดเล็กน้อย เอาไงดีหว่า....ฟ้าก็เริ่มมืด คนที่สนามบินเริ่มน้อยลง ด้านหน้าก็เป็นถนนใหญ่ ผู้คนขวักไขว่มีมอเตอร์ไซค์วิ่งไปมาเยอะมาก แต่เหมือนกำลังรีบกลับบ้านกัน  มีคนตะโกนเรียก มิสเตอร์ มิสเตอรฺ์เยอะแยะเต็มไปหมด จนต้องคอยหลบตา แต่ก็ยิ้มๆส่ายหัวน่ะครับ จะไปทำหน้าบูดบึ้งไปเลยก็ไม่งาม  เวลานักท่องเที่ยวเดินไปไหนก็จะมีแต่คนตะโกนเรียก ที่นี่ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างครับ แต่ทุกคนที่ผานไปมาเขาสามารถที่จะหยุดแล้วตะโกนเรียกคุณได้น่ะ

          ผมเดินออกมาทางด้านขวาของสนามบิน งง...... ไม่รู้ไปทางไหนดี เห็นมีแสงไฟเหมือนเป็นศูนย์การค้าเล็กๆ เลยเดินไป มีร้านฟาสต์ฟู้ดท้องถิ่น (แต่รู้สึกว่าแบรนด์นี้จะมีคนโพสต์ว่ามีที่ฟิลิปปินส์ด้วยนะครับ) เป็นผึ้งน่ารัก  เลยสั่งช็อกโกแลตซันเดย์มาถ้วยนึง...ชิมแล้ว   แมคโดนัลด์กับเคเอฟซีบ้านเราอร่อยกว่าครับ เนื้อไอศครีมเขาหยาบๆกว่าครับ แล้วไม่ค่อยหวานเลย    ได้การล่ะ  ลองถามพนักงานเขาดีกว่า เลยเอื้อนเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ พร้อมชี้แผนที่ให้น้องเขาดู     คุณน้องรีบเรียกเพื่อนๆมาช่วยกัน ผู้จัดการร้านก็มารุมช่วยกันตอบ ได้ความว่า ฟามงูเหลา ห่างจากที่นี่พอสมควร เดินไปไม่ได้หรอก   แล้วรถเมลล์ก็หมดไปตั้งแต่หกโมงแล้ว  ไม่มีรถอื่นนอกจากจะจ้างมอเตอร์ไซค์ไปเป็นคำตอบสุดท้าย     

        พอกินไอติมเสร็จ  ออกมาบรรยากาศยิ่งน่ากลัว เพราะว่ามืดสนิทแล้วครับ แถมเหมือนว่ารถราในถนนเริ่มน้อยลง  ระหว่างที่เดินก็มีมอเตอร์ไซค์มาเรียก ก็เลยตัดสินใจ เป็นไงเป็นกัน...เอาว่ะ
       คนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ซวยซะแล้วสิตรู ชี้แผนที่ให้เขาดู เขาก็งง เลยบอกว่า ฟ้ามงูเหล้า  พยายามออกเสียงแบบว่าเวียดนามนิ้ดนึง เขางง ออกเสียงใหม่หลายที่เขาก็งง  สุดท้ายออกเสียงใหม่ ฟาม งู เหลา แบบไทยๆ ทีละพยางค์   โอ้ว..เขาเข้าใจยิ้มรับทันที  พร้อมถอนว่าด้วยว่า ฟามงูเหลา ออกเสียงแบบภาษาไทยชัดมาก ทำได้บทเรียนว่าต่อไปไม่ต้องกระแดะหาสำเนียงแปร่งพยายาให้เหมือนภาษาท้องถิ่น  เขียนมายังไงก็อ่านไปตามนั้นนั่นแหละ  แล้วเขาก็เอาหมวกกันน็อคจากที่เก็บใต้เบาะมาให้ใส่

         คนที่นี่ดีมากเรื่องหมวกกันน็อคนะครับ ใส่กันหมดทุกคนคนซ้อนท้ายก็ใส่หมวกกันน็อค ถึงว่าแม้ว่าตลอดทางเขาจะบีบแตรกันดังลั่นถนน ขี่ฉวัดเฉวียนนี้ดนึง แต่ก้ไม่เห็นเขาลงมาต่อยกัน หรือมีอารมณ์กันมากมาย ผมว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องบีบแตรกันเพราะเหมือนให้สัญญาณเตือน เนื่องจาก 99% บนถนน จะเป็นมอเตอร์ไซค์ซึ่งการเลี้ยว การแซงต่างๆ กระจกมันมองยากนะ (อันนี้ผมคิดหาเหตุผลดูน่ะครับ อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ)
          เขาขับผ่านถนนมาเรื่อยๆครับ ที่ไฟส่องสว่างสองข้างก็จริง แต่ตึกบ้านเรือนดูเงียบๆน่ะครับ ในใจภาวนาว่า  อย่าปล้นตรูเล้ย....ไม่มีอะไรมีค่าหรอกนะ  และแล้วพอผ่านไปประมาณ 10 นาทีก็เริ่มเข้าตัวเมือง ค่อยเห็นตึกรามบ้านช่อง

          ประมาณสักรวม 20 นาที คุณพี่มอเตอร์ไซค์ก็พาลัดเลาะซอกซอยจนมาจอดตรงฟามงูเหลา ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะผิดเพราะคึกคักแบบตรอกข้าวสารบ้านเรา มีป้ายโรงแรมมากมายแบบใจกลางเมืองแบบนี้ เลิกกลัวเลยครับ  ก่อนจ่ายเงินผมลืมคืนหมวกกันน็อคเลยแหละ ดีที่พี่มอเตอร์ไซค์เขาสะกิดเรียก ไม่งั้นคงเป็นหมีสวมหมวกกันน็อคเดินถือกระเป๋าเดินทางประหลาดแท้
           ย่านนี้สว่างไสวเหมือนตรอกข้าวสารบ้านเรามาก มีตึกแถว บาร์เหล้า ร้านอาหาร ป้ายโรงแรมมากมาย แบบนี้สบายผมเลยเดินไปหาโรงแรมที่แรกก่อน เป็นแบบดูดีหน่อย  พนักงานสาววัยรุ่นยิ้มรับแบบมีได้มาตราฐานการบริการมาอย่างดีบอกว่าเสียดายห้องเต็มคืนนี้ จะว่างคืนพรุ่งนี้และเรทคืนละ 900 บาท  อดไป
           ก็เลยเดินต่อไป อยู่ๆก็มีเด็กวัยรุ่นอายุประมาณ 16 ปี วิ่งเข้ามาถามว่าต้องการหาห้องพักรึเปล่าว(ภาษาอังกฤษไฟแล่บเลย )  บอกว่าที่บ้านเรามีห้องแบ่งให้พัก สนใจไหม ก็เลยเดินตามเข้าไป ปรากฏเป็นตึกแถวชั้นล่างเป็นร้านเช่าหนังสือ ด้านบนชั้น2-4 ทำเป็นโรงแรมเล็ก เลยลองเปิดไปดูห้อง  ห้องมีเตียงเล็กสองเตียง มีแอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น สภาพปานกลาง ไม่สะอาดเอี่ยมแบบโรงแรมปกติแต่ก็ไม่สกปรกนะ  ผมเลยถามราคา น้องบอกมาว่าคืนละ 10 US$ . ( คิดในใจ ประมาณ 300 บาทเองนี่หว่า)   โอเคไหม.....งานนี้ไม่ต้องคิดครับ  จ่ายทันทีเลยสองคืน
             จากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปลุยเดินเล่นละแวกนั้น  มื้อเย็นแรกฟาดเกี๋ยวน้ำรถเข็น หน้าที่พักเลยครับ รสชาติแบบบ้านเรามากครับ แต่เหมือนอาหารบ้านเขาจะใส่ผงชูรสเยอะ ผมเห็นมีถ้วยเครื่องปรุงตอนแรกนึกว่าน้ำตาล พอมาดูใกล้ๆเป็นผงชูรสครับ แต่ว่าเกี๋ยวน้ำเขาหมูเต็มก้อนน่ะครับ น้ำซุปเหมือนชายสี่หมี่เกี๋ยวมาก ราคาสบายกระเป๋า....
              แล้วเริ่มสำรวจพื้นที่ออกมานั่งจิบกาแฟ ร้านปากซอย พร้อมกับทดลองข้ามถนน ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากแค่ทนเสียงบีบแตรดังๆ อย่าไปสนใจ วิ่งข้ามให้เร็วหน่อยกว่าปกติ แล้วไปนั่งกินไอศครีมโยเกิร์ต  ซึ่งเขาจะมีถ้วยให้เราใส่แล้วนำไปชั่งกิโลครับ ซึ่งมีหลายรสชาติและหลายท็อปปิ้งให้เราเลือกครับ แพงนิดนึงแต่รสชาติอาหย่อยดี  


           จากนั้นก็กลับมาที่ห้อง พักผ่อน เช็คสภาพห้องแอร์เย็น ตู้เย็นใช้ได้  แต่ไม่ได้ลองเครือ่งทำน้ำอุ่นน่ะครับ แบบว่าปกติไม่ชอบอาบน้ำอุ่นน่ะครับ  แอบเปิดดูทีวีละครบ้านเขา นี่ตัวอิจฉาแรงส์พอๆกับบ้านเราเลย ใส่เสื้อคอลึกมาก เสื้อผ้าสีแปร๋น แต่งหน้าจัด...กริยาท่าทางน่าตบ  ละครบ้านเขาท่าทางจะสนุกอยู่ บางช่องก็ดูเหมือนเป็นช่องรัฐบาลน่ะครับ มีแต่ข่าวรัฐบาล สารคดีปลุกใจ และมีช่องการแสดงงิ้ว  ระบำจีนแบบต่างๆ


            ตื่นมาตอนเช้าตรู่ตั้งแต่หกโมงครึ่ง กางแผนที่ที่ปริ้นท์เตรียมมาออกไปเที่ยวระหว่างทางได้เจอสิ่งที่น่าสนใจหลายเรื่องครับ  ฟ้าไม่ไม่ค่อยสว่าง ผมว่าเขาออกมาทำงานกันช้านะครับ ประมาณเจ็ดโมงถึงเริ่มเห็นรถ ตอนแรกนึกว่าเช้าๆน่าจะมีคนเพราะเป็นใจกลางเมือง

  •  ตามหัวมุมสี่แยกจะมีคนเข็นปั๊มลมออกมาให้บริการเติมลมให้กับมอไซค์ครับ พอสายๆก็เข็นออกไป
  • มีช่างซ่อมปะยางเคลื่อนที่ตามสี่แยก   
  •  กาแฟที่นั่นเรียก "โกปี้" คล้ายๆบ้านเรา ออกเสียงไปเขาเข้าใจครับ แต่ชงมาแล้วเหมือนโอเลี้ยงขมๆน่ะครับ ต้องรอให้ละลายถึงพอดื่มได้
  • คนที่นั่นยิ้มแย้มแจ่มใส การบริการดี ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวพอประมาณนะครับ  
  • วัยรุ่นที่นั่นบางคนแต่งตัวเปรียวปี๊ด  รัดรูปเชียว บางคนค่อนข้างแรงเลยครับ เสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นเห็นเยอะพอสมควร
  • ตอนที่ผมไปวัยรุ่นที่นั่นนิยมย้อมผมทอง (อันนี้รู้สึกจะตามหลังบ้านเรานะครับ)
  • ตลอดทางจะมีมอเตอร์ไซค์บีบแตรเรียกคุณ ไม่ต้องตกใจ แค่หันไปยิ้มแล้วส่ายหัว เขาก็จะเลิกตอแยไปเองครับ คิดซะว่าทุกคนก็อยากหารายได้ เวลาเห็นนักท่องเที่ยวเขาก็เลยต้องเรียกบ้าง อย่าไปหงุดหงิดหรือรำคาญเขาเลยครับ
  • คนเวียดนามทั้งผู้หญิง ผู้ชายจะรูปร่างเล็ก ผู้ชายรูปร่างออกไปค่อนข้างผอมอ่ะ ถ้าผมเดินไปในย่านคนท้องถิ่น นี่ผมแทบจะอ้วนที่สุดในถนนแล้วครับ แล้วรู้สึกเลยว่าคนมองอ่ะครับ  ดังนั้นการแต่งกายก็อย่าให้เปรี้ยวปี๊ดมาก มันจะเด่นเกินไป

              อาหารที่ผมชอบกินคือ ขนมปังฝรั่งเศส ปกติเคยกินเวลาไปตามภาคอีสาน หรือบางจังหวัด แต่นี่มีโอกาสไปแล้ว เลยไปลองกับของตำรับเวียดนามดู ซึ่งตอนเช้าจะมีรถเข็นกระจกเลื่อนออกมาข่ายริมถนน  ผู้คนก็จะแวะซื้อกันเป็นอาหารเช้า ผมเลยฟาดไปทุกเช้าเลยครับ ขนมปังอาจจะแข็งหน่อยแต่ไส้ด้านในเขาใส่มาเยอะครับ มีขายทั้งแบบครึ่งท่อนหรือเต็มท่อน (ปกติผมกินครึ่งท่อนก็อิ่มแล้วอ่ะครับ)

          วันแรกผมออกเดินตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปตามแผนที่  ไปตามถนนน่ะครับ แต่หลงไปโผล่ทิศตรงข้ามเดินไปเจอตลาดเช้า มีผักสดขายเต็มสองข้างทางไปหมดเลยครับ หน้าตาผักก็เหมือนบ้านเราครับ แม่ค้าตะโกนค้าขายกันครึกครื่น  เดินไปจนสุดทาง เลยไปถามทางคุณพี่ร้านกาแฟ เจอต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง  นั่นอากาศดีกว่ากรุงเทพฯเยอะครับ เดินๆไปยังรู้สึกสดชื่น  เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ แล้วก็เดินมาเจอรูปปั้นคุณลุงโฮ  โบสถ์เก่าแก่ซึ่งใหญ่โตอลังการมากครับ ขอย้ำว่าใหญ่จริงๆ  แล้วก็ที่ทำการไปรษณีย์เก่าซึ่งมีคู่แต่งงานมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งอยู่ด้วยครับ  มีแวะถามทางบ้างนิดหน่อย ส่วนใหญ่ก็ช่วยเหลือดียกเว้นบางคนที่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้น่ะครับ  ต้องพยายามถามวัยทำงาน  ระหว่างทางก็มีแต่คนบีบแตร หรือไม่ก็ขับชะลอมาถาม ก็ต้องพยายามเดินเข้าในฟุตบาธครับ  ยิ้มแบบนางงามแล้วส่ายหัวครับ
          ทริปนี้ผมเน้นการเดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพัก แวะกินขนม กินน้ำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้เน้นล่าสะสมแต้มสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งใจว่าจะไปแค่สามสี่ที่ ที่ใกล้ๆฟามงูเหงา แล้วที่เหลือก็จะเป็นการเดินชมเมืองดูผู้คน วิถีชีวิตวัฒนธรรม

            ดังนั้นสถานที่ที่ไปจึงไม่มากนัก  แต่สถานที่หนึ่งที่ประทับใจคือ พิพิธภัณฑ์สงคราม ไม่ว่างจากวงเวียนมาก  ภายนอกมีจัดแสดงปืนกล รถถัง เฮลิคอปเตอร์  ภายในเป็นอาคารสามชั้นจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ เป็นภาพของสงครามเวียดนาม ที่คนเวียดนามต่อสู้กับอเมริกา ภาพของคนที่ตายไปในสงคราม นักข่าวที่หายสาบสูญ ดูไปดูมาทำเอาแอบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ไหลมานิดๆ ต้องรวบรวมสติอยู่นาน 

            เดินๆ ไปเจอเหมือนโรงเรียนกำลังมีการสอบอะไรสักอย่าง เห็นผู้ปกครองมาจอดมอเตอร์ไซค์รอกันเต็มริมทางเลย เลยเดินเข้าไปสำรวจโรงเรียนเล่นๆ แต่ว่าเดินไปแป๊บเดียวก็ออกมาครับ เพราะเด็กๆเยอะมาก  กลัวโดนข้อหาบุกรุก   และได้มีโอกาสนั่งรถสามล้อแบบเวียดนามที่ผู้โดยสารอยู่นั่งด้านหน้าและคุณลุงปั่นอยู่ด้านหลัง  เนื่องจากเดินมากเกินไปขาเริ่มปวด หวาดเสียวดีแท้ครับเพราะว่าเวลาข้ามถนนคุณลุงแกเล่นเอามือโบกเป็นสัญญาณไฟเลี้ยว แล้วตัวผมซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้ารถ จะต้องถูกเสนอหน้าไปยื่นจิ้มทีละนิด ทีละนิดระหว่างขอทางมอเตอร์ไซค์ครับ  ลุ้นทุกสี่แยก ทุกระยะดีครับ







                ที่จริงเที่ยวแบบผม ประมาณตอนบ่ายก็หมดแล้วครับ กลับที่พักมานอนพักขา บ่ายๆก็ออกเดินลุยเมืองเล่นต่อไปครับ    ไปตามตรอกซอกซอยชมเมืองไปเรื่อย อากาศดี แล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แวะเดินไปเดินมามั่วๆ  จนได้ไปเจอวัดแห่งหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าสถานะเป็นวัด หรือแค่ศาลเจ้านะครับ) เล็กๆ อยู่ท่ามกลางตึกแถวรายล้อม ผมเห็นมีเจ้าแม่กวนอิมตั้งอยู่ เลยเดินเข้าไปข้างใน  พบพระสวมจีวรสีเทาอ่อน ท่านนั่งอยู่ ท่านยิ้มให้คงทราบว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว  เพราะแต่งตัวเฟี้ยวเหลือเกิ้น   ผมเดินไปไหว้พระด้านในอาคารซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว ทั้งวัดมีผมคนเดียวมั้งครับ พอไหว้เสร็จเงยหน้าขึ้นมา ท่านเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นธูปที่ท่านจุดแล้วมาให้ ผมยิ้มรับแล้วนำมาไหว้ พร้อมกับปักธูปในกระธาง    
               เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกดีมากครับ ที่ได้น้ำใจไมตรีเล็กๆน้อยๆที่ได้รับ  ไม่ต้องพูดไม่ต้องสื่อสารกันแต่รับรู้ได้ถึงศรัทธาในศาสนาเดียวกัน    



               ตอนเย็น ย้อนกลับมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้านหน้าฟามงูเหลา  มีอาม่าอาอึ้มมาวิ่งเล่นออกกำลังกายกันเยอะครับ เห็นมีกลุ่มแอโรบิคด้วยครับแต่ว่าต้องขอบาย เพราะกลุ่มนี้ท่ายากเหลือเกิ้น ตามไม่ทัน ขอบายนะครับอาม่า
              และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจคือ ระหว่างที่เดินในสวนสาธารณะ  มีคู่หนุ่มสาวเวียดนาม แต่งกายเป็นคนทำงานออฟิศ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลิศเลอ ดูเรียบๆ มาเรียกให้ผมช่วยถ่ายภาพให้  ผมเลยรับกล้องดิจิตอลรุ่นเก่า สภาพหน้าจอแตกมีรอยร้าวที่กระจกแต่ยังมองเห็นภาพได้ เขาสองคนนั่งคู่ให้ผมช่วยถ่ายภาพให้ ดูน่ารักมากครับ พวกเขาเห็นภาพแล้วก็โค้งขอบคุณ ถ่ายภาพให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความรักของคนทั้งคู่ รู้สึกหัวใจมีความสุขชะมัดเลย
                วีรกรรมที่ฮาก็มีครับคือ คืนที่สองผมใส่เสื้อกล้าม +ขาสั้น 
(ก็ว่าแรงแล้วนะ)กำลังข้ามถนนไปกินไอศครีมโยเกิร์ตร้านโปรด ระหว่างที่ข้ามมาถึงเกาะกลางถนน รอข้ามไปอีกเลน มีมอเตอร์ไซค์ขับโดยผู้หญิงวัยกลางคนบีบแตรเรียกแล้วตะโกน มิสเตอร์ หันไปด้านหลังมีสาวน้อยวัยรุ่นอายุประมาณ 18 ปี (แต่ไม่แน่ใจนะเพราะแต่งหน้าจัดมาก) ผิวขาวจั๊วะ ใส่เสื้อสายเดี่ยวเสียวหลุด และกางเกงขาสั้นพอๆ กับใบเตยอาร์สยาม ยื่นหน้าออกพร้อมยิ้มแบบเชิญชวนสุดฤทธิ์ ท่าทางน้องเขาจะแน่นอกนิดนึงนะครับ  เสื้อจะระเบิดเชียว  .......แหม มาเสนอขายสินค้ากับกลางถนนเนี่ยนะ ผมเลยได้แต่ยิ่มและส่ายหัวพัลวัน 

            สำหรับอาหารเวียดนาม ส่วนใหญ่จะทานแบบที่ขายริมถนนน่ะครับ เกี๊ยวกุ้งอร่อยดี 2 ชิ้น 50 บาท  ขนมปังฝรั่งเศส  เฝอ และก็มีกินโดนัทแบรนด์ท้องถิ่นบ้าง ราคาอันละ 20-30 บาทแต่ผมว่าเนื้อแป้งไม่ค่อยอร่อย   กาแฟแก้วละ 40 บาท(ร้านกาแฟเก๋ๆในซอยฟามงูเหลา)




มีบางมื้อกินเคเอฟซี และฟาสต์ฟู้ท้องถิ่นสั่งอาหารชุด ชุดละ 100 บาท  ดื่มเบียร์ไปเยอะนิดนึง ฟาดไปหลายกระป๋อง 555 มาแล้วจะพลาดได้ไงเนอะ 

ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ 4,000 กว่าบาท
ใช้เงินสดไปเป็นค่าที่พัก และอาหาร 3 คืน 3 วัน
รวมเป็นเงินประมาณ 4,000 บาทครับ

ขออภัยหากรูปไม่ชัด ตอนนั้นยังใช้มือถือรุ่นกล้อง 2 MB อยู่เลยครับ