วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

ทำ Visa จีนด้วยตัวเอง ง่ายจังเลย

    หนี่ห่าว  ต้องหัดพูดจีนสักหน่อย ก่อนไปแว้บเล่นกับหมีแพนด้าที่เมืองจีน

   ทริปนี้ Bearindyz ก็ยังคงเดินทางคนเดียวเหมือนเดิม บินไปสายการบินเจ้าประจำอย่างแอร์เอเซีย เนื่องจากได้ราคาโปรตามเคย
     กรุงเทพ-เสิ้่นเจิ้น ไปกลับประมาณ4,300 บาท  
    ต่การเข้าประเทศจีนจะต้องใช้วีซ่านะครับ ฮ่องกงกับมาเก๊าไม่ต้องใช้นะครับ  ดังนั้นถึงเวลาที่  Bearindyz จะต้องทำวีซ่า เหมือนตอนทริปไปไต้หวันครับ ตอนแรกก็คิดว่าจะทำผ่านเอเจนซีน่าจะง่ายดี แต่มาคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องนั่งรถเอาเอกสารมาให้เอเจนซี นั่งรถมารับกลับอีก  ทำเองน่าจะดีกว่าประหยัดทั้งเงินและเวลา

สถานที่
อาคาร AA ข้างสถานทูตจีน รัชดาภิเษก 
นั่ง MRT ไปลงสถานีพระราม 9 หรือศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยครับ เดินไกลพอๆ กันทั้งสองสถานี
เวลาทำการ  08.30-11.00 น.
ดังนั้นไปแต่เช้าจะดีกว่าครับ ประมาณ 08.30 น. รปภ.จะให้ขึ้นไปชั้น 2 เพื่อรับบัตรคิว แล้ว09.00 น. จะเริ่มกดหมายเลขครับตามช่อง

วีซ่าจีนสามารถขอก่อนเดินทางได้ล่วงหน้า 3 เดือน ใช้อยู่ในจีนได้ 30วัน


     ขอแจ้งเป็นข้อๆดังนี้นะ
1. แบบฟอร์มวีซ่า ให้ใช้ version 2013 สามารถหาได้ใน Google
พิมพ์เข้าไปได้เลยครับ หรือจะไปขอแบบฟอร์มแล้วเขียนที่อาคาร AA ข้างสถานทูตจีนครับ เขามีแบบฟอร์มวางไว้ให้ไปขอเจ้าหน้าที่ได้คับ
2. รูปถ่าย เอาแบบทางการนะครับ ไม่ใช่รูปโนเนะ ติดกาวที่แบบฟอร์มไว้เลย
3.ใบจองโรงแรม
4. ใบจองตั๋วเครื่องบิน
5. พาสปอร์ตเล่นจริงและสำเนา


หมายเหตุ
เอกสารที่ควรเตรียมไปเผื่อเพราะผมเจอว่าบางคน เจ้าหน้าที่ขอเพิ่ม
1. ตารางท่องเที่ยว (ผมก็ทำเป็น powerpoint ง่าย พอดีปริ้นท์ไปเผื่อไว้ครับ เอกสารนี้ไม่เห็นในเว็บเขียนไว้ )
2.  หนังสือรับรองการทำงานและเงินเดือน   เผอิญมีคิวก่อนผมเป็นพี่ผู้หญิงมาขอกับเพื่อนผู้หญิงล้วน เจ้าหน้าที่ขอแต่เขาไม่มีให้  เจ้าหน้าที่เลยไม่รับเอกสารเลย ให้กลับไปก่อนเลยแล้วมายื่นใหม่วันหลัง
สำหรับเพื่อนๆที่จะขอไปนานๆ ไปเรียน ไปทำงาน ให้เตรียมเอกสารเชิญจากที่ทำงาน จากโรงเรียน มหาลัยฯให้พร้อมนะครับ เพราะเห็นน้องนักเรียนมาเก้อกันหลายคนนะครับ

ที่ชั้น 2 เจ้าหน้าที่จะมีเครื่องถ่ายเอกสารและที่ถ่ายรูปไว้บริการครับ 


        ตอน 08.30 น. ผมก็ไปรับบัตรคิวเหมือนคนอื่นๆ แล้วนั่งรอดูเอกสารไว้เป็นชุดไว้เรียบร้อย ทากาว พอดีผมเอาแบบฟอร์มไปให้เจ้าหน้าที่เขาดูเบื้องต้น มีคำแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ครับ
*ในช่องอาชีพ สำหรับคนทำอาชีพเอง หรืออิสระ  ให้ใส่ชื่อร้านค้าหรือ เว็บไซด์ทีเ่ราขายของ ได้เลยครับ
*ในช่องที่ระบุว่า ผู้ออกค่าใช้จ่าย  ถ้าเราออกเอง ให้เขียนไปว่า myself
*ในช่องที่เขียนว่าเคยทำวีซ่าจีนมาก่อนไหม ถ้าเป็นครั้งแรก ให้เขียนว่า  Never
          ถ้าผู้ที่เคยขอวีซ่ามาแล้ว จะต้องถ่ายเอกสารหน้าวีซ่าเดิมมาด้วยนะครับ(เห็นหลายคนต้องมาถ่ายเอกสารหน้าวีซ่าเก่ากันที่หน้างาน)

       พอเวลา 09.00 น.ก็ถึงเวลาเริ่มทำงาน  ให้ดูที่ตัวเลขออกลำดับคิวตรงหน้าช่องดีๆนะครับ เพราะเขาไม่มีเสียงประกาศบอก มีแค่ตัวเลขโชว์บอกลำดับ เห็นหลายคนคุยเพลินจนเลยคิวไปอย่างน่าเสียดายครับ พอถึงคิว ผมเป็นคิวที่8 ครับ ยื่นเอกสารปุ๊บ เอกสารไหนไม่ใช้เจ้าหน้าที่จะคืนกลับมาครับ ใช้เวลาไม่ถึง 5นาที เขาจะยึดพาสปอร์ตตัวจริงไป  
     แล้วผมก็ได้รับใบนัดรับสีชมพู ใช้เวลาประมาณสี่วันทำการ ราคา 1,000 บาท แต่ถ้าคนไหนอยากเร่งด่วนยื่นเช้าได้บ่ายก็ราคา 2,000 บาท สำหรับวีซ่าประเภทเข้าออกครั้งเดียวครับ  
      พอเริ่ม9โมงกว่า คนมาเยอะมากเลยครับ ดังนั้นแนะนำว่ายอมตื่นเช้าไปแต่เนิ่นๆดีกว่า 

       ตลอดสี่วัน Bearindyz รอด้วยใจเต้นระส่ำ เป็นจังหวะสามช่ารอเวลาลุ้นสุดฤทธิ์
     พอถึงวันในกำหนดรับ ผมนำใบสีชมพูหวานแหวว ขึ้นไปที่ชั้นสอง แต่ว่ารอบนี้ไม่ต้องรับบัตรคิว เจ้าหน้าที่ให้เข้าคิวต่อแถวกันไปเลยครับ โดยไปที่ช่องชำระเงิน จ่ายเงิน1,000 บาทที่ช่องชำระเงินก่อน (ช่อง 14)แล้วเดินไปต่อแถวที่ช่องรับเอกสาร ( ช่อง12)  แอบเหล่เข้าไปในช่องทำงานของเจ้าหน้าที่เห็นกองพาสปอร์ตลันหลามเป็นพ้นเต็มกำแพงเลยครับ

      วันนี้เลยใช้เวลานานหน่อยประมาณ45 นาที วันที่รับวีซ่านี่ผมไปถึงเก้าโมง พบว่าคนเยอะมากกว่าวันที่ทำยื่นเอกสารครับ ดูๆน่าจะประมาณสองร้อยคน 
      เห็นมีบางคน คุยกับเจ้าหน้าที่ว่า มีเจ้าหน้าที่โทรไปให้มายื่นเอกสารเพิ่มเติมด้วยครับ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นกรณีไหนบ้าง
      และแล้วก็ได้รับพาสปอร์ตกลับมาครับ ตอนแรกเปิดหาวีซ่าไปเจอ ใจหายหมด สรุปวีซ่าไปติดอยู่หน้าท้ายๆของพาสปอร์ตครับ


     ยิ้มแฉ่งกลับบ้าน.....เตรียมตัวไปเสิ่นเจิ้นเต็มที่

ป.ล.เรื่องหลักฐานที่ต้องยื่นนั้น ผมว่าเผื่อไว้หน่อยนะครับ โดยเฉพาะสาวๆ ควรเตรียมหนังสือรับรองการทำงาน ,ตารางการท่องเที่ยว ไปหน่อยนะครับ เผื่อไปหน่อยดีกว่า

    




 

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นิทรรศรัตนโกสินทร์ .. Rattanakosin Exhibition Hall. The Best Museum I ever seen

          และแล้วก็กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับ หลังจากที่  Bear Indyz ไม่ได้พาเที่ยวเสียนาน ครั้งนี้ฤกษ์งามยามดีหนีงานได้ เลยได้มีโอกาสเพื่อนๆไปเที่ยว โดยทริปนี้หันกลับมาเที่ยวแบบง่ายๆภายในประเทศกับ นิทรรศรัตนโกสินทร์ โดยเรื่มต้นจากสถานีขนส่งเอกมัย ตอนแรกกะว่าจะนั่งรถไฟฟ้าแต่บวกลบคุณหาร เนื่องจากไปกับคุณน้องสาวสองคน ค่าแท็กซี่เฉลี่ยแล้วถูกกว่า  เพียง 100 นิดๆเองครับ

       
นิทรรศรัตนโกสินทร์เป็นพิพิธภัณฑ์อีกแห่ง ที่หลายคนยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ตั้งๆ ที่เปิดมาแล้วหลายปี 
       ตั้งอยู่ที่บริเวณ ถ.ราชดำเนิน ติดกับโลหะปราสาท วัดราชนัดดาครับ เป็นตึกสีเหลืองที่หลายท่านอาจมองผ่านไปไม่ทันได้สังเกต  
เปิดทำการเวลา 10.00 -19.00น.นะครับ   (หยุดวันจันทร์)

        ค่าเข้าคนละ 100 บาท  บอกเลยว่าโคตรคุ้มๆๆๆๆ มาก  เพราะข้างในนี่ ยิ่งใหญ่อลังการ,แฟนซี สมจริงยิ่งกว่าดูหนัง 3D ตั๋วแพงๆ อีกครับไปเที่ยวกลางคืนหรือทำอย่างอื่นยังแพงกว่านี้เยอะ
 
        ที่นี่จะมีไกด์พาชมเป็นรอบๆ  มี 2 เส้นทาง เส้นทางละ 2 ชั่วโมง รวม2 เส้นทางประมาณ 4 ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อนๆควรเตรียมเวลามาเกือบทั้งวันนะครับ และควรรีบจองคิวเพราะขนาดผมมาถึงตั้งแต่สิบโมงเช้า ยังได้รอบเดินชมเส้นทางที่ 1 เป็นรอบ 10.40 น.เลยครับ
สำหรับบริษัท,องค์กรไหนที่มาเป็นหมู่คณะ ควรจะติดต่อก่อนล่วงหน้านะครับ
           การบริการของไกด์ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงครับ สุภาพ อธิบายเข้าใจง่ายมาก พูดภาษาไทยชัดเจนมาก
           รวมถึงในส่วนของเนื้อหานิทรรศการก็มีการจัดไว้เป็นห้องต่างๆ ต้องขอบอกเลยว่า ที่นี่มีเนื้อหาเยอะมาก และมีความน่าสนใจมาจนทำให้ตลอดสองชั่วโมงที่เข้าชมเพลิดเพลินมากครับ แล้วดูรีบๆไปสักหน่อยเสียด้วยซ้ำ ความน่าสนใจคร่าวๆมีดังนี้

         - ได้พบกับ  Multimedia เทคนิคพิเศษต่างๆ
         - ห้องชมภาพยนตร์แบบ 360 องศารอบตัว
         - ห้องชมภาพยนตร์แบบ 4 D ที่มีละอองฝนหลวง ชุ่มชื่นใจ
         -  ได้พายเรือในลำคลองสมัยก่อน
         -  ร่วมส่งไปรษณียบัตรในตู้ไปรษณีย์โบราณ
         -  เดินไปในหลุมหลบภัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
          แล้วอีกมากมาย จนแทบตั้งตัวไม่ทันตลอดการชมเส้นทางต่างๆ

         นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ บอกเลยว่าภายในยังมีเทคนิคและวิธีการเล่าเรื่องราวอีกมากมายที่แปลกใหม่ไฮเทคมาก ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายมาก (ทำไมตอนเรียนประถม วิชา สปช. ไม่มีแบบนี้บ้างเนี่ย ตอนนั้นท่องแทบหัวระเบิดกว่าจะจำได้) เพื่อนควรจะมาชมด้วยตัวเองเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่น่าเบื่อเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่อื่นๆเลยครับ
       มาฟังไกด์ที่นี่บรรยากาศแป็บเดียวเข้าใจขึ้นเยอะเลย
            






            
และส่วนที่สำคัญที่สุด ได้ทราบถึงพระราชกรณียกิจของกษัตรย์ไทยในยุคสมัยต่างๆ เริ่มตั้งแต่กรุงธนบุรี  อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ทราบถึงความยากลำบากของเหล่าบรรพบุรุษ ผมซาบซึ้งและประทับใจเป็นอย่างมากครับ ดังนั้น  เพื่อนๆไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ








          
                ภายในมีร้านขายของที่ระลึกด้วยครับ แต่ว่าราคาแพงนิดนึง และมีทรูคาเฟ่ซึ่งมีขนมและไอติมอร่อยๆ รสชาติไทยที่เก๋มากเช่น รสขนมเบื้อง ,รสถั่วตัด,รสตะโก้แห้ว  อร่อยฟินมากเลย  ......รวมถึงวาฟเฟิลนมใส่ไม้เสียบก็รสชาติใช้ได้นะครับ ราคาไม่แพงเลย

              ส่วนมื้อเที่ยง ใครที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยว  BearIndyzขอแนะนำเลย เดินอ้อมไปด้านหลังตึกจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟรสชาติอร่อยมาก การันตีความอร่อยเว่อร์เพราะคุณน้องสาวฟาดไปสองชามรวด

          มาเรียนรู้วัฒนธรรม ชื่นชมและภาคภูมิในความเป็นไทยกันเถอะครับ ....ที่ นิทรรศรัตนโกสิทร์

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Grand Palace พระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้ว สวยงามอร่ามตา

     BearIndzy  ได้ไปแวะเที่ยวไหว้พระที่วัดพระแก้วอีกครั้ง หลังจากที่แวะเวียนไปบ่อยหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสถ่ายรูปสักเท่าไหร่นัก
     สำหรับท่านที่ยังไม่เคยไป ลองหาโอกาสไปดูนะครับ คนไทยเข้าฟรี แต่คนต่างชาติต้องซื้อตั๋วเข้าชมราคาแพงทีเดียวครับ 500 บาท
     สำหรับการเดินทางก็มีหลายเทคนิคนะครับ
1. นั่งรถไฟฟ้า ไปลงสถานีหัวลำโพง พอเดินออกมาแล้วเรียกแท็กซี่ต่อไปอีกนิดหน่อย ไม่เกิน 100 บาท
2.  จากลาดพร้าวนั่งรถเมลล์สาย 44 ไปสุดสายเลยครับ

      การแต่งกาย
1. ห้ามนั่งกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้นนะครับ
2.  สายเดี่ยว เสื้อกล้ามห้ามนะครับ
3. รองเท้าแตะ หนีบ
    ถือว่าเป็นการให้เกียรติสถานที่กันหน่อยนะครับ
    แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ที่ด้านหน้าทางเข้ามีจุดให้เช่าผ้าถุง และเสื้อคลุมครับ

    สำหรับคนไทยเมื่อเดินไปถึงช่องทางเข้าให้เดินชิดซ้ายกันไปเลย นักท่องเที่ยวเดินช่องขวานะครับ  ได้ไปไหว้พระขอพร รู้สึกดีจัง
สำหรับภายในไม่ต้องพูดถึง สวยงามมากๆ ไปทีไรก็ประทับใจทุกที ได้เห็นนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป ชื่นชมกับความวิจิตรตระการตา 












 สำหรับการเดินทาง ได้เห็นหลายองค์กร ได้พาน้องๆ นักเรียนมาเดินชม เด็กๆ ต่างตื่นตาตื่นใจเดินชมกันอย่างสนุกสนาน โดยมีไกด์ของพระบรมมหาราชวังเดินบอกประวัติและความสำคัญของสถานที่อย่างละเอียด ก็ได้แต่หวังว่าเด็กๆ เหล่านี้จะคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจและเห็นความสำคัญ ช่วยกันรักษาศิลปวัฒนธรรมของไทยให้อยู่คู่ชาติไทยต่อไป

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สุข สงบ เรียบง่ายที่สะหวันนะเขต Savannakhet LAO

           สุข สงบ เรียบง่ายที่สะหวันนะเขต Savannakhet LAO



        ในการตัดสินใจไปสะหวันนะเขต ผมใช้เวลาไม่นานนักประมาณสิบวัน ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลจากเน็ทไปด้วย แต่เนื่องด้วยทริปนี้เบี้ยน้อยนักผมเลยตัดเรื่องการเดินทางด้วยเครืองบินไปเลย หันมาดูข้อมูลแต่รถทัวร์ซึ่งเราจะต้องเดินทางไปมุกดาหาร แล้วจากมุกดาหารก็ต่อรถไปเมืองสะหวันนะเขตได้เลยครับ

         รถทัวร์จากกรุงเทพฯไปมุกดาหาร มีหลายบริษัท หลายราคามมีตั้งแต่ราคา 500กว่าบาทไปจนถึงแปดร้อยต้นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทรถว่าหรูหรามากน้อยขนาดไหน ม.1ก,ม.1ข ฯลฯ

     มีเรื่องที่ต้องระมัดระวังคือรอบเที่ยวรถ เนื่องจากเป็นเส้นทางระยะไกลจึงไม่มีรอบรถวิ่งไปไม่เยอะนัก เพื่อนๆลองเช็คให้ดีก่อนเดินทางนะครับ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลควรจองล่วงหน้านะ และแนะนำว่าควรเลือกเดินทางไปเที่ยวรอบรถกลางคืนจะดีกว่าเพราะอากาศไม่ร้อน  แอร์จะได้เย็นสบาย ถ้าไปตอนกลางวันแอร์จะทำงานไม่ค่อยไหวแล้วเจอแดดส่องมาอีกด้วย แฮ่ก แฮ่ก ตอนขากลับหน้าดำไปครึ่งนึงครับ

     ผมออกจากหมอชิต2 รอบสองทุ่มครึ่ง เลือกใช้ของสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์ ซึ่งก็ได้มาตราฐานดีตามราคา แอร์เย็นมีผ้าห่ม มีขนมแจกและมีคูปองอาหารส่วนลดสำหรับแลกซื้ออาหารได้ที่จุดพักรถ ตอนประมาณเที่ยงคืน   ผมฉีกคูปองพร้อมบวกเงินสดเพิ่มอีก20 บาทก็ได้ข้าวหมูอบมาหม่ำๆ

      ประมาณหกโมงเช้าก็มาถึงสถานีขนส่งมุกดาหาร ต้องขอบอกว่าเป็นเมืองเรียบๆเงียบๆมาก ไม่มีอะไรขายสักเท่าไหร่นัก เพื่อนๆหาซื้อขนมตุนไว้บ้างนะครับ
      พอเจ็ดโมงเช้า รถมุกดาหาร - สะหวันนะเขต ก็เปิดขายตั๋วครับ ห้ามชักช้าเด็ดขาดนะครับ เพราะคนลาว คนเวียดนามคนไทยต่างก็มารุมซื้อตั๋วแบบโกลาหลพอสมควร เวลาซื้อตั๋วเราจะต้องยื่นพาสปอร์ตให้พนักงานขายตั๋วด้วยนะครับ ราคา 45 บาท แต่.....รถนี้เป็นรถที่ยืนเสริมด้วยนะครับ ดังนั้นใครขึ้นรถช้าก็ต้องยืนกันไปครับ(แต่ระยะทางไม่ไกลมากนะครับประมาณ 30 นาที) เป็นอินเตอร์มากๆ คนลาว คนเวียดนาม คนไทยส่งภาษากันชุลมุน

      พอ 07.30 รถก็ออกครับ รถขับออกไปประมาณ 15 นาทีก็จะเจอด่านไทยกันเลย



ข้อควรระวัง ให้รีบไปขอใบเข้าออกประเทศที่เจ้าหน้าที่ก่อนเลย เพราะที่นี่เขาจะไม่มีจุดวางใบเข้าออกแดนให้ ตอนแรกผมไม่รู้เลยไปต่อแถวประทับตราพาสปอร์ตเลย พอไปถึงเจ้าหน้าที่ถึงได้ยื่นใบมาให้กรอก แล้วบอกว่าให้ไปต่อคิวใหม่ แง้ววววว 


     ไม่ต้องกลัว รถบัสจะจอดรอจนคนครบครับ คนก็จะแย่งกันขึ้นอุตลุต สรุปว่าได้นั่ง ได้ยืนกันสลับกันไปแทบทุกคน
      พอไปถึงด่านประเทศลาว เราก็ต้องเขียนใบผ่านเข้าประเทศลาวเหมือนกัน งานนี้รู้ทันเลยไปขอเขาก่อน พอเขียนเสร็จแล้วค่อยเข้าคิว ที่นี่เราต้องเสียค่าผ่านแดน 40 บาทครับ เขารับเงินไทยครับ
แต่ตอนวันกลับเป็นวันอาทิตย์ โดนค่าธรรมเนียมล่วงเวลาอีก 50 บาท

      งานนี้ต้องผ่านสองด่าน ทั้งด่านฝั่งไทยและฝั่งลาว ที่ด่านฝั่งลาวจะมีช่องสำหรับแลกเงินอยู่ด้วยครับ แต่วันที่ผมไปถึงเป็นเวลาเช้าโมงแปดโมงตรงยังเห็นปิดอยู่น่ะครับ 

     อีกแป๊บเดียวประมาณ 15 นาที รถก็มาถึงท่ารถภายในตัวเมืองสะหวันนะเขต  เหมือนต่างจังหวัดบ้านเราและย้อนอดีตไปอีกสัก 20 ปีก่อนโน้น  ถนนในตัวเมืองลาดยางแต่ก็ยังมีฝุ่นแดงอยู่ครับ





     ท่ารถจะอยู่กับตลาดเลย ซึ่งเป็นตลาดเช้ามีผักผลไม้มาขายตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงบ่าย  
     เวลาไปไหนมาไหนที่นี่จะมีรถสามล้อรับจ้างครับ  คิดราคาประมาณ 40-80 บาทแล้วแต่ความใกล้ไกล
     
การแลกเงิน
      แลกกับร้านค้าแถวๆนั้นที่ท่ารถสะหวันนะเขตก็ได้นะครับ หรือให้สามล้อพาไปแลกที่ธนาคารริมแม่น้ำโขงก็ได้ครับ 
       ผมแลกไปสองพันบาท ได้มาสี่แสนเก้าหมื่นกว่าบาทครับ


        สำหรับสถานที่เที่ยวในเมืองสะหวันนะเขต ไม่เยอะมากเหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่คุณจะได้รับกลิ่นไอของต่างจังหวัดคนไทยสมัยก่อนน่ะครับ ไม่มีตึกสูง ไม่มีแสงสีเสียง ไม่มีร้านกาแฟกิ๋บเก๋ บรรยากาศชิวเว่อร์เหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ  ที่นี่มีความเงียบ สงบ นิ่งๆ อยู่กับวิถีชีวิตง่ายๆมากกว่าครับ
        ที่นี่เป็นเหมือนเมืองทางผ่าน มีรถวิ่งเข้าไปเวียดนามหลายเมือง และต่อรถไปอีกหลายเมืองในลาวได้ทั้งปากเซ เวียงจันทน์

พระธาตุอิฮัง และบึงวะ
      จะอยู่ใกล้ๆกันครับ แต่ห่างจากตัวเมืองไปไกลทีเดียว ไม่มีรถโดยสารผ่าน จะต้องเหมารถสามล้อไป เขาคิดห้าร้อยบาท ผมก็ไม่คิดอะไรมากครับไม่รู้ว่าแพงไปรึเปล่าว แต่ก็ใช้เวลาสองที่รวมกันประมาณสองชั่วโมงกว่าถนนหนทางขรุขระเอาการทีเดียวครับ เป็นถนนดินแดงบางช่วง และเป็นหลุมเป็นบ่อ











 บึงวะ
 เป็นบึงขนาดใหญ่ รอบๆ จะมีกระต๊อบขายอาหารอยู่รึมบึง คนขับสามล้อบอกว่าตอนบ่ายๆ ถึงจะเริ่มขายอาหารครับ ใครจะมาแนะนำว่ามาตอนเย็นๆน่าจะสวยกว่าครับ บรรยากาศบึงอยู่กลางป่า ลมเย็นๆกันเลยครับ







     จากนั้นผมก็ให้สามล้อไปส่งที่โรงแรม taxtida แต่งงนิดๆ เพราะเขารู้จักกันในนาม โรงแรมเทพธิดา ห่างจากท่ารถและตลาดเข้าแค่ประมาณ 300 เมตร เดินไปได้ครับ ราคาคืนละสี่ร้อยบาท แอร์เย็นใช้ได้ มีเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ไม่มีตู้เย็นครับ ไม่มีwifi  มีผ้าขนหนู แปรงสีฟัน สบู่ยาสระผมให้ด้วยครับ  แถมไม่ขอดูพาสปอร์ตสักนิดเล้ยยย ยิ้มๆพาขึ้นห้องเลยครับ 555


  ช่วงสายๆจึงเป็นการสำรวจเมืองเก่า ด้านใน ประกอบด้วย
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์  ค่าเข้าชม 20 บาท เจ๋งมาก เพราะได้จับกระดูกไดโนเสาร์ของจริงด้วย  และมีคนมาแนะนำรายละเอียดยิบเลย

พิพิธภัณฑ์สะหวันนะเขต   บอกเล่าประวัติเมือง วัฒนธรรมของเมือง และมีรูปจำลองของแขวงนี้ งานนี้ได้เจอความใจดีของเจ้าหน้าที่ที่นี่ชวนกินข้าวเที่ยง ขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

บ้านพักท่านไกรสร พรหมวิหาร
ศาลท่านไกรสร พรหมวิหาร

นอกจากนี้ยังโบสถ์คริสต์ ลานตลาดเก่า ชมบ้านเมืองเก่า แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่ได้เก๋เหมือนเมืองอื่นๆน่ะครับ เน้นเงียบๆ สงบๆ เสียมากกว่า










          เดินไปโน่นมานี่ก็เที่ยวเกือบครบแล้วครับ คนลาวใจดี ยิ้มแย้มและพูดจาสุภาพมากครับ  สำหรับตึกเก่าที่นี่จะคล้ายๆกับที่ปีนัง และมะละกา น่าจะสร้างมายุคเดียวกันครับแต่ทรุดโทรมไปมากแล้ว









 
       ตัวเมืองด้านในมีการตัดถนนเป็นบล็อค เดินทะลุถึงกันได้หมดครับ แต่ว่าให้ระวังสุนัขนะ เพราะหลายบ้านเลี้ยงไว้แล้วค่อนข้างดุ เห่าไล่ผมหลายตัวเลย
              

อาหาร
      ที่นี่อาหารเช้าไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะว่ามีตลาดขายก๋วยเตี๋ยว ขายกาแฟ แต่ว่าตอนกลางวันและอาหารเย็นผมอาศัยไปกินที่ห้างสะหวัน ไอเทค และร้านจิ้มจุ่มริมแม่น้ำโขงครับ  
       ตลาดปิดตั้งแต่สี่โมง ร้านอาหารมีน้อยมาก ขนาดสามล้อยังบอกว่าไม่ค่อยมีอะไรขายมีน้อย





       อยู่ที่นี่เหมือนย้อนไปต่างจังหวัดบ้านเราในอดีตสัก 30 ปีก่อน ไม่มีตึกสูง ไม่มีความไฮเทคมากมาย ใช้ชีวิตแบบนิ่งๆ ผู้คนยิ้มแย้มเรียบง่าย ทำอาหารกินกันเองที่บ้าน 
        เหมาะกับการมาเที่ยวอยู่นิ่งๆ พักจากความวุ่นวายของสังคมเมืองสมัยใหม่ครับ