วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สุข สงบ เรียบง่ายที่สะหวันนะเขต Savannakhet LAO

           สุข สงบ เรียบง่ายที่สะหวันนะเขต Savannakhet LAO



        ในการตัดสินใจไปสะหวันนะเขต ผมใช้เวลาไม่นานนักประมาณสิบวัน ระหว่างนั้นก็หาข้อมูลจากเน็ทไปด้วย แต่เนื่องด้วยทริปนี้เบี้ยน้อยนักผมเลยตัดเรื่องการเดินทางด้วยเครืองบินไปเลย หันมาดูข้อมูลแต่รถทัวร์ซึ่งเราจะต้องเดินทางไปมุกดาหาร แล้วจากมุกดาหารก็ต่อรถไปเมืองสะหวันนะเขตได้เลยครับ

         รถทัวร์จากกรุงเทพฯไปมุกดาหาร มีหลายบริษัท หลายราคามมีตั้งแต่ราคา 500กว่าบาทไปจนถึงแปดร้อยต้นๆ ขึ้นอยู่กับประเภทรถว่าหรูหรามากน้อยขนาดไหน ม.1ก,ม.1ข ฯลฯ

     มีเรื่องที่ต้องระมัดระวังคือรอบเที่ยวรถ เนื่องจากเป็นเส้นทางระยะไกลจึงไม่มีรอบรถวิ่งไปไม่เยอะนัก เพื่อนๆลองเช็คให้ดีก่อนเดินทางนะครับ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลควรจองล่วงหน้านะ และแนะนำว่าควรเลือกเดินทางไปเที่ยวรอบรถกลางคืนจะดีกว่าเพราะอากาศไม่ร้อน  แอร์จะได้เย็นสบาย ถ้าไปตอนกลางวันแอร์จะทำงานไม่ค่อยไหวแล้วเจอแดดส่องมาอีกด้วย แฮ่ก แฮ่ก ตอนขากลับหน้าดำไปครึ่งนึงครับ

     ผมออกจากหมอชิต2 รอบสองทุ่มครึ่ง เลือกใช้ของสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์ ซึ่งก็ได้มาตราฐานดีตามราคา แอร์เย็นมีผ้าห่ม มีขนมแจกและมีคูปองอาหารส่วนลดสำหรับแลกซื้ออาหารได้ที่จุดพักรถ ตอนประมาณเที่ยงคืน   ผมฉีกคูปองพร้อมบวกเงินสดเพิ่มอีก20 บาทก็ได้ข้าวหมูอบมาหม่ำๆ

      ประมาณหกโมงเช้าก็มาถึงสถานีขนส่งมุกดาหาร ต้องขอบอกว่าเป็นเมืองเรียบๆเงียบๆมาก ไม่มีอะไรขายสักเท่าไหร่นัก เพื่อนๆหาซื้อขนมตุนไว้บ้างนะครับ
      พอเจ็ดโมงเช้า รถมุกดาหาร - สะหวันนะเขต ก็เปิดขายตั๋วครับ ห้ามชักช้าเด็ดขาดนะครับ เพราะคนลาว คนเวียดนามคนไทยต่างก็มารุมซื้อตั๋วแบบโกลาหลพอสมควร เวลาซื้อตั๋วเราจะต้องยื่นพาสปอร์ตให้พนักงานขายตั๋วด้วยนะครับ ราคา 45 บาท แต่.....รถนี้เป็นรถที่ยืนเสริมด้วยนะครับ ดังนั้นใครขึ้นรถช้าก็ต้องยืนกันไปครับ(แต่ระยะทางไม่ไกลมากนะครับประมาณ 30 นาที) เป็นอินเตอร์มากๆ คนลาว คนเวียดนาม คนไทยส่งภาษากันชุลมุน

      พอ 07.30 รถก็ออกครับ รถขับออกไปประมาณ 15 นาทีก็จะเจอด่านไทยกันเลย



ข้อควรระวัง ให้รีบไปขอใบเข้าออกประเทศที่เจ้าหน้าที่ก่อนเลย เพราะที่นี่เขาจะไม่มีจุดวางใบเข้าออกแดนให้ ตอนแรกผมไม่รู้เลยไปต่อแถวประทับตราพาสปอร์ตเลย พอไปถึงเจ้าหน้าที่ถึงได้ยื่นใบมาให้กรอก แล้วบอกว่าให้ไปต่อคิวใหม่ แง้ววววว 


     ไม่ต้องกลัว รถบัสจะจอดรอจนคนครบครับ คนก็จะแย่งกันขึ้นอุตลุต สรุปว่าได้นั่ง ได้ยืนกันสลับกันไปแทบทุกคน
      พอไปถึงด่านประเทศลาว เราก็ต้องเขียนใบผ่านเข้าประเทศลาวเหมือนกัน งานนี้รู้ทันเลยไปขอเขาก่อน พอเขียนเสร็จแล้วค่อยเข้าคิว ที่นี่เราต้องเสียค่าผ่านแดน 40 บาทครับ เขารับเงินไทยครับ
แต่ตอนวันกลับเป็นวันอาทิตย์ โดนค่าธรรมเนียมล่วงเวลาอีก 50 บาท

      งานนี้ต้องผ่านสองด่าน ทั้งด่านฝั่งไทยและฝั่งลาว ที่ด่านฝั่งลาวจะมีช่องสำหรับแลกเงินอยู่ด้วยครับ แต่วันที่ผมไปถึงเป็นเวลาเช้าโมงแปดโมงตรงยังเห็นปิดอยู่น่ะครับ 

     อีกแป๊บเดียวประมาณ 15 นาที รถก็มาถึงท่ารถภายในตัวเมืองสะหวันนะเขต  เหมือนต่างจังหวัดบ้านเราและย้อนอดีตไปอีกสัก 20 ปีก่อนโน้น  ถนนในตัวเมืองลาดยางแต่ก็ยังมีฝุ่นแดงอยู่ครับ





     ท่ารถจะอยู่กับตลาดเลย ซึ่งเป็นตลาดเช้ามีผักผลไม้มาขายตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงบ่าย  
     เวลาไปไหนมาไหนที่นี่จะมีรถสามล้อรับจ้างครับ  คิดราคาประมาณ 40-80 บาทแล้วแต่ความใกล้ไกล
     
การแลกเงิน
      แลกกับร้านค้าแถวๆนั้นที่ท่ารถสะหวันนะเขตก็ได้นะครับ หรือให้สามล้อพาไปแลกที่ธนาคารริมแม่น้ำโขงก็ได้ครับ 
       ผมแลกไปสองพันบาท ได้มาสี่แสนเก้าหมื่นกว่าบาทครับ


        สำหรับสถานที่เที่ยวในเมืองสะหวันนะเขต ไม่เยอะมากเหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ แต่คุณจะได้รับกลิ่นไอของต่างจังหวัดคนไทยสมัยก่อนน่ะครับ ไม่มีตึกสูง ไม่มีแสงสีเสียง ไม่มีร้านกาแฟกิ๋บเก๋ บรรยากาศชิวเว่อร์เหมือนเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ  ที่นี่มีความเงียบ สงบ นิ่งๆ อยู่กับวิถีชีวิตง่ายๆมากกว่าครับ
        ที่นี่เป็นเหมือนเมืองทางผ่าน มีรถวิ่งเข้าไปเวียดนามหลายเมือง และต่อรถไปอีกหลายเมืองในลาวได้ทั้งปากเซ เวียงจันทน์

พระธาตุอิฮัง และบึงวะ
      จะอยู่ใกล้ๆกันครับ แต่ห่างจากตัวเมืองไปไกลทีเดียว ไม่มีรถโดยสารผ่าน จะต้องเหมารถสามล้อไป เขาคิดห้าร้อยบาท ผมก็ไม่คิดอะไรมากครับไม่รู้ว่าแพงไปรึเปล่าว แต่ก็ใช้เวลาสองที่รวมกันประมาณสองชั่วโมงกว่าถนนหนทางขรุขระเอาการทีเดียวครับ เป็นถนนดินแดงบางช่วง และเป็นหลุมเป็นบ่อ











 บึงวะ
 เป็นบึงขนาดใหญ่ รอบๆ จะมีกระต๊อบขายอาหารอยู่รึมบึง คนขับสามล้อบอกว่าตอนบ่ายๆ ถึงจะเริ่มขายอาหารครับ ใครจะมาแนะนำว่ามาตอนเย็นๆน่าจะสวยกว่าครับ บรรยากาศบึงอยู่กลางป่า ลมเย็นๆกันเลยครับ







     จากนั้นผมก็ให้สามล้อไปส่งที่โรงแรม taxtida แต่งงนิดๆ เพราะเขารู้จักกันในนาม โรงแรมเทพธิดา ห่างจากท่ารถและตลาดเข้าแค่ประมาณ 300 เมตร เดินไปได้ครับ ราคาคืนละสี่ร้อยบาท แอร์เย็นใช้ได้ มีเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ไม่มีตู้เย็นครับ ไม่มีwifi  มีผ้าขนหนู แปรงสีฟัน สบู่ยาสระผมให้ด้วยครับ  แถมไม่ขอดูพาสปอร์ตสักนิดเล้ยยย ยิ้มๆพาขึ้นห้องเลยครับ 555


  ช่วงสายๆจึงเป็นการสำรวจเมืองเก่า ด้านใน ประกอบด้วย
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์  ค่าเข้าชม 20 บาท เจ๋งมาก เพราะได้จับกระดูกไดโนเสาร์ของจริงด้วย  และมีคนมาแนะนำรายละเอียดยิบเลย

พิพิธภัณฑ์สะหวันนะเขต   บอกเล่าประวัติเมือง วัฒนธรรมของเมือง และมีรูปจำลองของแขวงนี้ งานนี้ได้เจอความใจดีของเจ้าหน้าที่ที่นี่ชวนกินข้าวเที่ยง ขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

บ้านพักท่านไกรสร พรหมวิหาร
ศาลท่านไกรสร พรหมวิหาร

นอกจากนี้ยังโบสถ์คริสต์ ลานตลาดเก่า ชมบ้านเมืองเก่า แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่ได้เก๋เหมือนเมืองอื่นๆน่ะครับ เน้นเงียบๆ สงบๆ เสียมากกว่า










          เดินไปโน่นมานี่ก็เที่ยวเกือบครบแล้วครับ คนลาวใจดี ยิ้มแย้มและพูดจาสุภาพมากครับ  สำหรับตึกเก่าที่นี่จะคล้ายๆกับที่ปีนัง และมะละกา น่าจะสร้างมายุคเดียวกันครับแต่ทรุดโทรมไปมากแล้ว









 
       ตัวเมืองด้านในมีการตัดถนนเป็นบล็อค เดินทะลุถึงกันได้หมดครับ แต่ว่าให้ระวังสุนัขนะ เพราะหลายบ้านเลี้ยงไว้แล้วค่อนข้างดุ เห่าไล่ผมหลายตัวเลย
              

อาหาร
      ที่นี่อาหารเช้าไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะว่ามีตลาดขายก๋วยเตี๋ยว ขายกาแฟ แต่ว่าตอนกลางวันและอาหารเย็นผมอาศัยไปกินที่ห้างสะหวัน ไอเทค และร้านจิ้มจุ่มริมแม่น้ำโขงครับ  
       ตลาดปิดตั้งแต่สี่โมง ร้านอาหารมีน้อยมาก ขนาดสามล้อยังบอกว่าไม่ค่อยมีอะไรขายมีน้อย





       อยู่ที่นี่เหมือนย้อนไปต่างจังหวัดบ้านเราในอดีตสัก 30 ปีก่อน ไม่มีตึกสูง ไม่มีความไฮเทคมากมาย ใช้ชีวิตแบบนิ่งๆ ผู้คนยิ้มแย้มเรียบง่าย ทำอาหารกินกันเองที่บ้าน 
        เหมาะกับการมาเที่ยวอยู่นิ่งๆ พักจากความวุ่นวายของสังคมเมืองสมัยใหม่ครับ