วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปากเซ อีกครั้ง ในวันฝนฟรำ... Pakse again

     หลังจากเมืองไทยร้อน ฝนไม่ตกมานาน  นึกครึ้มถึงน้ำตกที่ปากเซ ที่เคยไปเที่ยว 3 ปีก่อน   Bearindyz เลยขอแอบซ่าไปเยือนเมืองปากเซอีกรอบ 

     แต่ในทริปนี้ตั้งใจว่าจะไปแบบเรียบๆ ไม่ไปเที่ยวมากมาย เน้นไป Slow life ปล่อยใจปล่อยตัว ชมนกชมไม้เสียมากกว่า
      เริ่มการเดินทางกันเลยกับสายการบิน Thai lion air ในราคา 1,200 บาท ขึ้นที่สนามบินดอนเมือง เพื่อนที่ไม่มีสัมภาระโหลด มีแค่กระเป๋าติดตัวสามารถเข้าเว็บเช็คอินได้เลยนะครับ แต่น่าเสียดายที่เว็บเช็คอินของ Thai lionair รับล่วงหน้าแค่ 1 วัน ซึ่งทำให้ขากลับไม่สามารถเช็คอินล่วงหน้าได้

         ตอนนี้สนามบินดอนเมืองมีผู้คนเยอะมาก โดยเฉพาะเวลารถทัวร์มาลง นักท่องเที่ยวมหาศาลจริงๆครับ ป้ายประกาศต่างๆ มีภาษาจีนเยอะขึ้น ดังนั้นควรเผื่อเวลาไปเยอะหน่อยนะครับ

          ใช้เวลาบินประมาณ 50 นาทีเท่านั้น ก็มาถึง จังหวัดอุบลราชธานี ที่นี่สนามบินยังปรับปรุงหลังจากไฟไหม้ไม่เสร็จ ทางเจ้าหน้าที่ก็คอยมาดูแล กั้นเชือกโซนที่ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ  เดินออกมาด้านข้างตึกจะมีเคาน์เตอร์แท็กซี่บริการ คิดราคา 170 บาท แต่ผมแนะนำแท็กซี่ที่จอดอยู่ด้านหน้าอาคาร คิดราคาตามมิเตอร์
 ผมนั่งจากสนามบินไป บขส. ประมาณ 70 บาทครับ  ใช้เวลาประมาณ 15 นาที



        เมื่อมาถึง ที่ บขส.อุบลจะมีช่องขายตั๋วไปปากเซ ราคา 200 บาท เวลาซื้อจะต้องยื่นพาสปอร์ตให้พี่คนขายด้วย มีสองรอบ รอบ 09.00 กับ 15.30 น. สองเที่ยวต่อวันเท่านั้น ดังนั้นคำนวณเวลาดีๆ นะครับ 

         พี่คนขับเป็นลาว พวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย คนที่ผมนั่งไม่เต็มคนประมาณ 70% มีคนไทยแค่ 4 ที่เหลือคนลาวหมดเลยครับ  ตื่นเต้นเล็กน้อย   บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้  ไร่สวน เห็นควายกินหญ้าบรรยากาศดีงามมาก นึกถึงเมืองไทยสมัยก่อนเลยครับ ตอนนี้บรรยากาศวิวแบบชนบทจริงๆ เริ่มหายากมากแล้ว

         Bearindyz ชวนคนลาวๆคุยถามโน่นนี่ ได้เลยเพื่อนคุยเป็นแม่ค้าลาวที่มาซื้อเสื้อผ้าจากฝั่งไทยไปขายที่โน่น  ทำให้ได้รู้ว่าคนลาวนิยมดารานักร้องไทยมาก ละครช่อง 7 เป็นที่นิยมมาก

         พอรถมาถึงด่านไทย รถทัวร์จะจอดแล้วให้ผู้โดยสารลงไปที่ด่าน  เพื่อนๆจะไม่เห็นใบผ่านแดน ให้รีบไปขอที่เคาน์เตอร์แล้วค่อยมาเขียนกลับไปต่อคิวใหม่นะครับ (รู้สึกว่าจะเป็นทุกด่านเลยนะครับ สงสัยว่าถ้าวางไว้แล้วจะโดนขโมยหมด) 

          จากนั้นพอเดินออกมาจะเห็นทางลอดอุโมงค์ เดินตามๆ คนอื่นไปครับ  จะโผล่มาฝั่งลาว แล้วจะเห็นอาคารด่านลาวอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตรครับ เดินไปทางนั้น สำหรับผู้โดยสารขาเข้าลาวให้เดินอ้อมไปด้านหลังอาคารนะครับ ด้านหน้าจะเป็นสำหรับยื่นตอนกลับมาฝั่งไทยครับ  พร้อมกับค่าผ่านแดนน100 บาท (แพงจัง)

           พอเสร็จแล้ว ให้ออกกลับมาด้านหน้า รถทัวร์จะจอดรอรับอยู่ด้านหน้าอาคารด่านฝั่งลาวนะครับ  ไม่ต้องกลัวหลง พยายามสังเกตผู้โดยสารคนอื่น เด็กรถไว้นะครับ จะได้ไม่หลง แต่ว่าผมก็เห็นเขานับจำนวนผู้โดยสารไว้ครับ เขาจะจอดรถจนกว่าผู้โดยสารทำเรื่องผ่านแดนจนครบน่ะครับ ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีครับ
           ด้านข้างจะมีธนาคาลาวสามารถแลกเงินได้นะครับ แต่ว่าเขาปิดเร็วเหมือนกันดังนั้นต้องเป็นคนที่เดินทางมากับรถทัวร์รอบ 09.00 น.ครับ
           ฟ้าเริ่มมืด ไฟทางสว่างเป็นสีส้ม จนรถทัวร์แล่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง  ก็เตรียมตัวลงได้เลยครับ 

           รถทัวร์มาจากส่งผู้โดยสารลงที่หน้าโรงแรมจำปาสักแกรนด์ ซึ่งที่จริงแล้วต้องจอดที่หลักสาม  แต่ก็ถือว่าไม่ไกลจากที่พักผมมาก แค่ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที แฮ่ก แฮ่ก
            ผมพักที่โฮสเทล แถววัดหลวง ถนน 13 เป็นแหล่งรวมโฮสเทลและโรงแรมครับ  มีร้านอาหารเวียดนาม ฝรั่ง ร้านกาแฟมากกว่าย่านอื่นๆในเมือง  สำหรับโรงแรมผมแนะนำโรงแรมแสงอรุณ แต่เสียดายที่ทางโรงแรมไม่รับจองทางเว็บ ต้องเดินมาจองเอง คืนละ 643 บาท  ย่านนี้เป็นย่านที่มีนักท่องเที่ยวอยู่เยอะที่สุดแล้ว ถนนหนทางอืนๆ เงียบมาก  ร้านอาหารมีน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศไทย
             



เช้าวันฝนพรำ
             เริ่มต้นด้วยการกินขนมปังฝรั่งเศสแถวหน้าโรงแรม ขนาดใหญ่เบิ้มมาก ไส้หมูยอทะลักออกมา แล้วก็เริ่มต้นเดินๆ ไปวัดหลวง
วัดประจำเมืองปากเซ เข้าไปไหว้พระขอพร จากนั้นก็เดินมาศูนย์การค้า ที่รอบๆเป็นตลาดสดขายผักผลไม้ ภายในอาคารจะมีร้านขายของใช้ โทรศัพท์มือถือ ชั้น2 เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่สินค้าทั้งหมดเป็นสินค้าของไทยล้วนๆ แทบไม่เห็นแบรนด์อื่นเลย ยกเว้นเบียร์ลาว น้ำดื่มหัวเสือ

             เมืองปากเซยังแทบไม่แตกต่างมากนักจากเมื่อสามปีก่อน มีตึกก่อสร้างขึ้นใหม่บ้าง แต่ก็น้อยมาก  ที่สังเกตชัดเจนคือ ตลาดดาวเรืองใหญ่โตขึ้นนะ ร้านค้าขายเพิ่มมากขึ้น  
             แต่คนยังน้อย นักท่องเที่ยวน้อยมากเพราะไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยว ฝนตกพรำตลอดวันจึงเหมาะแก่การเดินเรื่อยเปื่อย ชมเมือง ดูโน่นดูนี่ตามอารมณ์ ปล่อยใจไป   slow lifeบ้าง
              สำหรับการเดินทางไปชมน้ำตกตาดผาส้วมนั้น มีบริษัททัวร์ และร้านอาหารแถวนั้น 
             มีร้านหนึ่งผมแนะนำ อยู่เลยจากโรงแรมแสงอรุณไปหนึ่งสี่แยก  เวลาหันหน้าเข้าโรงแรมแสงอรุณให้เดินไปทางขวานะครับ 
จะเจอสี่แยกที่มีร้านอาหารอยู่ตรงหัวมุมครับ
             เขาจะขายเป็นราคากรุ๊ปโดยรถตู้ รวมกันหลายๆคน คิดราคา คนละ 620 บาท พาไป5 แห่ง ไปรวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ  ถ้าจะไปวัดพู 500 บาทครับ  แต่เขาก็พูดเหมือนกันว่า ถ้าคนน้อยๆ บางวันก็อาจไม่ได้ไปครับดังนั้นต้องติดต่อสอบถามล่วงหน้าครับ

วัดหลวง









ตลาดดาวเรือง








  ผัก ผลไม้ อาหาร ขนมรวมกันอยู่ที่นี่ครับ ผู้คนคึกคัก ภายในอาคารของตลาดก็รวมข้าวของเครื่องใช้มากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็พอๆกับตลาดบ้านเราครับ ปลาที่นี่ตัวโตขนาดเท่าขาเลยครับ

น้ำตกตาดผาส้วม

                  อยู่ห่างออกจากตัวเมืองไปไกลเกือบครึ่งชั่วโมงเลยครับ
ถนนไม่ค่อยดีนัก ที่นี่เก็บค่าเข้าชมคนละ 6,000 กีบ  ภายในนอกจากจะมีน้ำตกแล้ว ยังมีร้านอาหารที่ขายโดยคนพื้นเมืองชนเผ่า และหมู่บ้านที่ชาวบ้านนำผ้าพื้นเมืองมาขายด้วยครับ

















           
            
           

ไม่มีความคิดเห็น: